แชร์

คำถาม : คนเรามีเลือด ปริมาตรเท่าไร

20 ผู้เข้าชม

ปริมาตรเลือดในร่างกายมนุษย์และการเจาะเลือดเพื่อตรวจสอบมีความซับซ้อนทั้งในแง่สรีรวิทยาและหลักการแพทย์ มาศึกษาเชิงลึกดังนี้:

1. ปริมาตรเลือดทั้งหมด (Total Blood Volume - TBV)
ค่าปกติ: ประมาณ 70 ถึง 75 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ในผู้ใหญ่สุขภาพดี
ผู้ชาย น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ประมาณ 5000 มิลลิลิตร หรือ 5 ลิตร
ผู้หญิง น้ำหนัก 55 กิโลกรัม ประมาณ 3850 มิลลิลิตร
ทารกแรกเกิด ประมาณ 80 ถึง 85 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม เนื่องจากมีอัตราการเผาผลาญสูงกว่า
ปัจจัยที่มีผล
องค์ประกอบร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อมีเลือดมาเลี้ยงมากกว่าเนื้อเยื่อไขมัน นักกีฬาจะมีปริมาตรเลือดมากกว่าคนอ้วนที่น้ำหนักเท่ากัน
ภาวะขาดน้ำหรือความชุ่มน้ำ การดื่มน้ำมากอาจเพิ่มปริมาตรพลาสมาได้ชั่วคราว
โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตวายเรื้อรังอาจทำให้มีภาวะเลือดจาง ลดจำนวนเม็ดเลือดแดงและปริมาตรเลือดรวม


2. การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ปริมาณทั่วไป
หลอดเก็บเลือดมาตรฐาน บรรจุประมาณ 2 ถึง 10 มิลลิลิตร ขึ้นกับประเภทหลอด
การตรวจพื้นฐาน เช่น ตรวจนับเม็ดเลือดและเคมีในเลือด ใช้รวมไม่เกิน 20 มิลลิลิตร คิดเป็นประมาณไม่เกินครึ่งเปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเลือดทั้งหมด
การตรวจพิเศษ เช่น การเพาะเชื้อหรือการตรวจสารพันธุกรรม อาจใช้เลือดมากขึ้นแต่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาตรทั้งหมด
กลไกชดเชยของร่างกาย
ระยะทันที ตัวรับความดันที่บริเวณคอจะตรวจจับความดันเลือดที่ลดลงเล็กน้อย แล้วกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติเพื่อรักษาระดับความดัน
ภายใน 1 ถึง 2 วัน ไตจะหลั่งฮอร์โมนอีริโทรโพอิตินเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ พร้อมกับหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ที่ช่วยกักเก็บน้ำและแร่ธาตุ

3. ปริมาณเลือดสูงสุดที่สามารถเจาะออกได้อย่างปลอดภัย
หลักการแพทย์
การบริจาคเลือดตามมาตรฐาน ธนาคารเลือดมักเก็บประมาณ 450 มิลลิลิตร บวกลบ 50 มิลลิลิตร หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเลือดทั้งหมด โดยสามารถบริจาคได้ทุก 2 ถึง 3 เดือน
การวิจัยในสภาวะควบคุม พบว่าการเสียเลือดไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ของปริมาตรรวม เช่นประมาณ 750 มิลลิลิตรในผู้ใหญ่ที่น้ำหนัก 70 กิโลกรัม มักไม่ก่อให้เกิดอาการหากได้รับการชดเชยด้วยของเหลว
จุดที่เริ่มมีความเสี่ยง คือการเสียเลือดมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 1500 มิลลิลิตร ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อกจากการขาดเลือด
ข้อยกเว้น
ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤต เช่นในไอซียู อาจมีการเจาะเลือดรวมกันมากกว่า 50 มิลลิลิตรต่อวัน แต่ต้องมีการคำนวณและติดตามอย่างระมัดระวัง
การบริจาคเม็ดเลือดแดงสองถุง ใช้เครื่องแยกส่วนเลือดโดยจะเก็บเฉพาะเม็ดเลือดแดงรวมประมาณ 600 มิลลิลิตร ผู้บริจาคต้องมีคุณสมบัติด้านน้ำหนักและสุขภาพที่เหมาะสม


4. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการเจาะเลือดปริมาณมาก
อาการจากการเสียเลือด เช่น หน้ามืด เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็วเกิน 100 ครั้งต่อนาที โดยเฉพาะหากเสียเลือดมากกว่า 1000 มิลลิลิตรในเวลาสั้นๆ
การเจือจางของเลือด หากมีการเจาะเลือดบ่อยครั้ง เช่นในผู้ป่วยไอซียู อาจทำให้ค่าความเข้มข้นของเลือดลดลงผิดปกติ
การขาดธาตุเหล็ก หากเสียเลือดรวมกันเกิน 250 มิลลิลิตรต่อสัปดาห์ จะทำให้ร่างกายขาดเหล็กภายในเวลา 2 ถึง 3 เดือน


5. เทคนิคการลดปริมาณเลือดในการตรวจ
ใช้หลอดเก็บเลือดขนาดเล็กพิเศษสำหรับเด็ก เช่น 1 ถึง 2 มิลลิลิตร
ใช้เครื่องตรวจแบบข้างเตียง ซึ่งใช้เลือดในปริมาณน้อย เช่นการวัดแก๊สในเลือดต้องการเพียง 0 จุด 2 มิลลิลิตร
ระบบวงจรปิดในหอผู้ป่วยวิกฤต ที่ใช้สายดูดเลือดเก่ามาตรวจซ้ำ ลดความจำเป็นในการเจาะใหม่


สรุป : โดยทั่วไปการตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการใช้เลือดในปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาตรเลือดทั้งหมด แต่ต้องคำนึงถึงสภาพของผู้ป่วยเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกแรกเกิดหรือผู้ป่วยโลหิตจางรุนแรง ซึ่งอาจกำหนดให้เจาะเลือดไม่เกิน 1 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ของปริมาตรเลือดรวมต่อสัปดาห์เพื่อความปลอดภัย
หากคุณต้องการแปลงเนื้อหานี้เป็นไฟล์ Word หรือ PDF สำหรับพิมพ์หรือใช้ในเอกสารทางวิชาการ ผมสามารถช่วยจัดรูปแบบให้ได้ครับ ต้องการไหมครับ?


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy