แชร์

คำถาม : คนเราทำงานต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมง

 

 

คนเราทำงานต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมง
จากหลักการทางการแพทย์และสรีรวิทยา มนุษย์ไม่ควรทำงานติดต่อกันเกิน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน โดยควรมีช่วงพักเป็นระยะ เพื่อป้องกันผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

เหตุผลทางการแพทย์ที่สนับสนุนข้อจำกัดนี้
1. สมองและระบบประสาท
- สมองมนุษย์สามารถโฟกัสได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียง **90-120 นาที** ต่อครั้ง (ตามหลัก Ultradian Rhythm) หลังจากนั้นความสามารถในการตัดสินใจและความคิดสร้างสรรค์ลดลง
- การทำงานนานเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อ **ความเครียดสะสม** และภาวะสมองล้า (Mental Fatigue)

2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- การนั่งทำงานนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่เคลื่อนไหว เพิ่มความเสี่ยงต่อ **โรคหัวใจและหลอดเลือด** ตามการศึกษาของ WHO
- การทำงานเกิน 10 ชั่วโมง/วัน เป็นประจำสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูง

3. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
- การอยู่ในท่าเดิมนานๆ (เช่น นั่งหน้าคอมพิวเตอร์) ทำให้เกิด **Office Syndrome** ปวดคอ/หลัง และอาจนำไปสู่โรคกระดูกทับเส้น

4. การนอนหลับและ circadian rhythm
- การทำงานเกิน 8 ชั่วโมงมักรบกวนวงจรการนอนหลับ ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง
- การอดนอนเรื้อรังจากการทำงานหนักสัมพันธ์กับโรคอ้วนและภูมิคุ้มกันต่ำ

5. สุขภาพจิต
- งานวิจัยจาก WHO ชี้ว่า การทำงานเกิน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยง **โรคซึมเศร้าและวิตกกังวล**
- สมดุลชีวิตและการงาน (Work-Life Balance) จำเป็นต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

คำแนะนำทางการแพทย์
- ไม่ควรทำงานติดต่อกันเกิน 2 ชั่วโมง โดยไม่พักสั้นๆ (5-10 นาที)
- ควรจำกัดชั่วโมงทำงานที่ 8-9 ชั่วโมง/วัน (รวมพัก)
- หากจำเป็นต้องทำงานนาน ควรใช้เทคนิค Pomodoro (ทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที)
- หลีกเลี่ยงการทำงานเกิน 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ เป็นประจำ

องค์กรด้านอาชีวอนามัยเช่น ILO และ WHO แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพและสุขภาพที่ดี ผู้employersควรออกแบบงานให้สอดคล้องกับขีดจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ การทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ผลกระทบเชิงลึกทางการแพทย์จากระบบต่างๆ ของร่างกาย
การทำงานติดต่อกันเกินขีดจำกัดของร่างกายส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบสรีรวิทยาหลายด้าน โดยมีกลไกทางชีววิทยาและพยาธิสรีรวิทยาที่ชัดเจน ดังนี้

1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS)
กลไกการล้าของสมอง (Mental Fatigue)
- สารสื่อประสาทลดลง การทำงานต่อเนื่องทำให้สมองใช้ โดปามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมาธิและอารมณ์ เมื่อสารเหล่านี้ลดลง ส่งผลให้
- ความสามารถในการตัดสินใจแย่ลง (Cognitive Decline)
- ความคิดสร้างสรรค์ลดลง
- อารมณ์แปรปรวน (Irritability)
- สมองส่วน Prefrontal Cortex (PFC) ทำงานหนักเกินไป
- PFC ทำหน้าที่ควบคุม Executive Functions เช่น การวางแผน การยับยั้งชั่งใจ
- เมื่อใช้งานนานเกินไป จะเกิด Neural Exhaustion ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
ความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ในสมอง
- การใช้พลังงานของเซลล์ประสาท (Neurons) สูงขึ้น ทำให้เกิด อนุมูลอิสระ (ROS) ซึ่งทำลายเยื่อหุ้มเซลล์สมอง
- หากสะสมนานๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคทางระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimers Disease)

2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System)
การทำงานของหัวใจที่เพิ่มขึ้น (Increased Cardiac Load)
- การทำงานนานเกินไปทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะ Sympathetic Overactivity (ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานเกิน)
- หัวใจเต้นเร็วขึ้น
- ความดันโลหิตสูงขึ้น
- หลอดเลือดหดตัว
- ในระยะยาว เสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) และ หัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease)
การอักเสบระดับต่ำ (Low-grade Inflammation)
- การทำงานต่อเนื่องกระตุ้นการหลั่ง C-reactive Protein (CRP) และ Interleukin-6 (IL-6) ซึ่งเป็นสารก่อการอักเสบ
- ส่งผลให้เกิด  endothelial dysfunction (ผนังหลอดเลือดทำงานผิดปกติ) เพิ่มความเสี่ยง หลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)

3. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal System)
การบาดเจ็บสะสมจากงาน (Repetitive Strain Injury: RSI)
- การใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เช่น การพิมพ์คีย์บอร์ดหรือนั่งนาน ทำให้เกิด Microtrauma ในเนื้อเยื่อ
- หากไม่พักผ่อนเพียงพอ จะนำไปสู่ อาการปวดเรื้อรัง เช่น
- โรคข้ออักเสบ (Tendinitis)
- อาการปวดหลังส่วนล่าง (Chronic Low Back Pain)
- กลุ่มอาการท่อลมมือชา (Carpal Tunnel Syndrome)
การเสื่อมของหมอนรองกระดูก (Disc Degeneration)
- การนั่งนานเกินไปเพิ่มแรงกดบน หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral Disc)
- ทำให้เกิด Degenerative Disc Disease (DDD) ในระยะยาว

4. ระบบฮอร์โมนและเมตาบอลิซึม (Endocrine & Metabolic System)
ความผิดปกติของฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol Dysregulation)
- การทำงานนานกระตุ้นการหลั่ง คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด
- หากคอร์ติซอลสูงต่อเนื่อง จะส่งผล
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
- น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น (Insulin Resistance) เสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- การสะสมไขมันเพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะบริเวณท้อง)
การรบกวนการนอนหลับ (Sleep Disruption)
- การทำงานเกินเวลา ทำให้ เมลาโทนิน (Melatonin) หลั่งไม่ปกติ
- นำไปสู่ โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) และ คุณภาพการนอนแย่ลง (Non-restorative Sleep)

5. ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal System)
ภาวะกรดไหลย้อน (GERD) และแผลในกระเพาะอาหาร
- ความเครียดจากการทำงานนานกระตุ้นการหลั่ง กรดในกระเพาะอาหาร มากขึ้น
- เพิ่มความเสี่ยง GERD และ แผลเปื่อยกระเพาะ (Peptic Ulcer)
ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome: IBS)
- ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อ สมองและลำไส้ (Gut-Brain Axis) ทำให้เกิดอาการ
- ท้องอืด
- ท้องเสียหรือท้องผูกสลับกัน

สรุปกลไกหลักที่ร่างกายเสียสมดุลจากการทำงานนานเกินไป
| ระบบร่างกาย | ผลกระทบเชิงลึก | โรคที่อาจเกิด |
| ระบบประสาท | สมองล้า, Oxidative Stress | โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่, อัลไซเมอร์ |
| หัวใจและหลอดเลือด | Sympathetic Overactivity, การอักเสบ | ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ |
| กล้ามเนื้อและกระดูก | Microtrauma, Disc Degeneration | ปวดหลังเรื้อรัง, RSI |
| ฮอร์โมนและเมตาบอลิซึม | Cortisol Dysregulation, Insulin Resistance | เบาหวาน, โรคอ้วน |
| ทางเดินอาหาร | กรดไหลย้อน, Gut-Brain Axis Dysfunction | GERD, IBS |

คำแนะนำทางการแพทย์เชิงลึก
- ควรพักทุก 90 นาที เพื่อให้สมองฟื้นตัว (ตาม Ultradian Rhythm)
- เคลื่อนไหวทุก 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกัน Deep Vein Thrombosis (DVT)
- จำกัดชั่วโมงทำงานไม่เกิน 9 ชั่วโมง/วัน เพื่อลดความเครียดสะสม
- นอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์

งานวิจัยจาก The Lancet (2015) พบว่า การทำงานเกิน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยง Stroke 33% และโรคหัวใจ 13% ดังนั้น การจัดการเวลาทำงานอย่างสมดุลจึงสำคัญต่อสุขภาพระยะยาว


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy