คำถาม : Senadefil ถ้าใช้อยากสม่ำเสมอมีผลข้างเคียงยังไงบ้าง
คำถาม : Senadefil ถ้าใช้อยากสม่ำเสมอมีผลข้างเคียงยังไงบ้าง
การใช้สารหรือยาที่คล้ายกับ senadefil (ซึ่งอาจเป็นการสะกดผิดของ sildenafil หรือยาในกลุ่ม phosphodiesterase type 5 inhibitors PDE5 inhibitors) อย่างต่อเนื่องหรือไม่เหมาะสม อาจส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะหากใช้ในปริมาณสูงหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์
1. ผลข้างเคียงทางกายภาพ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง:
PDE5 inhibitors (เช่น sildenafil, tadalafil) มีผลขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลง หากใช้ร่วมกับยาลดความดันหรือสารอื่น (เช่น ไนเตรต) อาจทำให้ความดันต่ำเกินไปจนเป็นลม
ในบางกรณี อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นหากใช้ร่วมกับสารกระตุ้น (เช่น แอมเฟตามีน, คาเฟอีน)
หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia):
อาจเกิดจากผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติหรือภาวะ electrolyte imbalance
เพิ่มความเสี่ยงหัวใจวาย (Myocardial Infarction):
โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่เดิม
ระบบประสาท
ปวดศีรษะรุนแรง (จาก vasodilation)
เวียนศีรษะ/หน้ามืด
ชัก (ในกรณีใช้เกินขนาด)
ระบบทางเดินอาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน
ท้องเสียหรือท้องผูก
แสบร้อนกลางอก (GERD)
ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
ปวดกล้ามเนื้อ/หลัง (myalgia, back pain)
กล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) หากใช้ร่วมกับยาบางชนิด (เช่น statins)
ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
ตาพร่า มองเห็นสีผิดปกติ (จากผลต่อ retinal PDE6)
การได้ยินลดลงหรือหูอื้อ (Sudden hearing loss)
2. ผลข้างเคียงทางจิตประสาท
อาการกระสับกระส่าย วิตกกังวล
นอนไม่หลับ (Insomnia)
อาการหลอน (Hallucinations) หากใช้ร่วมกับสารอื่น
ภาวะเสพติดทางจิตใจ (Psychological dependence)
3. ผลต่อระบบเพศ
ภาวะหนองในเทียม (Priapism):
การแข็งตัวของอวัยวะเพศนานเกิน 4 ชั่วโมง อาจทำให้เนื้อเยื่อตายและสูญเสียสมรรถภาพทางเพศถาวร
สมรรถภาพทางเพศลดลงเมื่อใช้ต่อเนื่อง (Tachyphylaxis):
ร่างกายอาจปรับตัวจนต้องเพิ่มขนาดยา
4. ผลข้างเคียงรุนแรงที่อาจถึงชีวิต
ภาวะหลอดเลือดสมองแตก/อุดตัน (Stroke)
หัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest)
ตับ/ไตวาย (จากพิษสะสม)
5. ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงผลข้างเคียง
ใช้ร่วมกับแอลกอฮอล์หรือสารอื่น (เช่น โคเคน, MDMA) เพิ่มพิษต่อหัวใจ
ใช้ในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, ความดันสูง, ตับ/ไตผิดปกติ
ใช้เกินขนาด (แม้ยา PDE5 inhibitors ทั่วไป เช่น Viagra ก็มีขนาดสูงสุดที่ 100 mg/วัน)
คำแนะนำทางการแพทย์
ควรใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น
ห้ามใช้ร่วมกับไนเตรต (เช่น ยาโรคหัวใจ) หรือสารกระตุ้น
หากมีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก หน้ามืด ต้องหยุดยาและพบแพทย์ทันที
อย่าซื้อยาจากแหล่งไม่น่าเชื่อถือ (อาจเป็นยาปลอมหรือมียาอื่นผสม)
หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ตัว ใช้ยาเสพติดหรือใช้ยาแบบไม่เหมาะสม ควรขอความช่วยเหลือจาก:
สายด่วนยาเสพติด 1165 โรงพยาบาลหรือคลินิกยาเสพติด
การใช้สารใดๆ โดยไม่จำเป็น เสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพในระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกชนิด
การใช้สารกลุ่ม PDE5 inhibitors (เช่น ไซเดนาฟิล/sildenafil, ทาดาลาฟิล/tadalafil) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ ผ่านกลไกทางสรีรวิทยาหลายประการ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้:
1. กลไกการเกิด "Tachyphylaxis" (ความเคยชินต่อยา)
ร่างกายปรับตัวลดการตอบสนอง:
เมื่อใช้ยา PDE5 inhibitors บ่อยครั้ง ร่างกายอาจลดการสร้างสารสื่อประสาท (เช่น nitric oxide) ที่กระตุ้นการแข็งตัวตามธรรมชาติ เนื่องจากได้รับสารสังเคราะห์ทดแทนอยู่เสมอ
เหมือนกับการใช้ยาพาราฯ บ่อยๆ แล้วร่างกายทนต่อฤทธิ์ยา
ตัวรับ (receptors) ถูกกระตุ้นมากเกินไป:
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ PDE5 เพื่อเพิ่ม cGMP (สารที่ช่วยคลายหลอดเลือดในอวัยวะเพศ) หากใช้ต่อเนื่อง อาจทำให้ตัวรับ cGMP ลดความไว (downregulation)
2. ผลทางจิตวิทยา
การพึ่งพายา (Psychological dependence):
ผู้ใช้บางรายอาจรู้สึกว่า "ไม่มั่นใจ" ในการแข็งตัวหากไม่ใช้ยา แม้ร่างกายยังมีความสามารถตามปกติ
นำไปสู่ภาวะเครียดทางเพศ (Performance anxiety) ที่ทำให้สมรรถภาพแย่ลง
ลดความต้องการทางเพศ (Libido):
การใช้ยาต่อเนื่องอาจทำให้สมองเชื่อมโยงความตื่นตัวทางเพศกับยา แทนที่จะเป็นความต้องการตามธรรมชาติ
3. ผลต่อระบบหลอดเลือดและฮอร์โมน
ความเสียหายของหลอดเลือดเล็ก (Endothelial dysfunction):
การใช้ยา PDE5 inhibitors มากเกินไปอาจรบกวนการทำงานของ endothelial cells ที่ผลิต nitric oxide ตามธรรมชาติ
ในระยะยาว อาจทำให้การไหลเวียนเลือดไปอวัยวะเพศแย่ลง
ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง:
งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าการใช้ยาเหล่านี้ต่อเนื่องอาจกดการผลิตเทสโทสเตอโรน (หากไม่มีการกระตุ้นทางเพศตามธรรมชาติ)
4. ภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้สมรรถภาพแย่ลง
Priapism (การแข็งตัวนานผิดปกติ):
หากเกิดบ่อยครั้งอาจทำให้เนื้อเยื่ออวัยวะเพศเสียหายถาวร
ความดันโลหิตต่ำเรื้อรัง:
ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียงพอ
วิธีป้องกันและแก้ไข
1. ใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็น
หลีกเลี่ยงการใช้ทุกวันเว้นแต่แพทย์สั่ง
พยายามกระตุ้นทางเพศโดยไม่พึ่งยาบ้าง
2. ปรับพฤติกรรมสุขภาพ
ออกกำลังกาย (โดยเฉพาะ cardio) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด
ควบคุมความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ
3. ตรวจหาสาเหตุต้นตอ
สมรรถภาพทางเพศลดลงอาจเกิดจากโรคอื่น เช่น เบาหวาน ความดันสูง ฮอร์โมนต่ำ ควรปรึกษาแพทย์
4. ไม่เพิ่มขนาดยาเอง
การใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้กลไกการพึ่งพารุนแรงขึ้น
สรุป
การใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศต่อเนื่อง ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาระยะยาว และอาจทำให้อาการแย่ลงได้จากทั้งกลไกร่างกายและจิตใจ ทางออกที่ดีที่สุดคือการหาสาเหตุที่แท้จริง (ทั้งทางกายและใจ) และรักษาอย่างเหมาะสมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ