คำถาม : แอมโมเนียรั่วส่งผลต่อร่างกายอย่างไร
คำถาม : แอมโมเนียรั่วส่งผลต่อร่างกายอย่างไร
ผลกระทบทางการแพทย์ของแอมโมเนียรั่วต่อร่างกาย กลไกการก่อพิษพื้นฐาน (Basic Mechanism of Toxicity)
แอมโมเนีย (NH) เป็นก๊าซที่ละลายน้ำได้ดีมาก เมื่อสัมผัสกับความชื้นบนผิวหนัง ดวงตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทางเดินหายใจ มันจะเกิดปฏิกิริยากับน้ำเพื่อสร้างแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ (NHOH) ซึ่งเป็นด่างที่รุนแรง (strong alkali) และเป็นสารกัดกร่อน
พิษของแอมโมเนียเกิดจาก 2 กลไกหลักพร้อมกัน
1. การเผาไหม้ด้วยด่าง (Alkaline Burn): NHOH ทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมันในเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เกิดเนื้อตายแบบ coagulative necrosis การเผาไหม้แบบด่างเป็นอันตรายกว่ากรดเพราะมันละลายเนื้อเยื่อและแทรกซึมลึกได้มากกว่า
2. การอักเสบและการบวมน้ำ (Inflammation and Edema): การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อกระตุ้นให้ร่างกายปล่อย cytokine การอักเสบจำนวนมาก นำไปสู่การบวมและสะสมของของเหลว
ผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย (Systemic Effects)
1. ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory System)
ทางเดินหายใจส่วนบน: จมูก คอ กล่องเสียง และหลอดลมใหญ่ได้รับผลกระทบแรกสุด เกิดการเผาไหม้ ทำให้
บวมอย่างรุนแรง: เนื้อเยื่อในลำคอและกล่องเสียงบวมจนอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที หลอดลมหดเกร็ง: ทางเดินหายใจหดตัวทันที ทำให้หายใจมีเสียงหวีดและหายใจลำบาก ทางเดินหายใจส่วนล่างและปอด:
โรคปอดอักเสบจากการสูดดม (Chemical Pneumonitis): แอมโมเนียทำลายเซลล์ปอดและถุงลม ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการอักเสบและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ภาวะหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS): การอักเสบรุนแรงทำให้ของเหลวรั่วเข้าไปในปอดทั้งสองข้าง ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนรุนแรง อาจเสียชีวิตได้ ปอดบวมน้ำ (Pulmonary Edema): ของเหลวสะสมในปอด อาจเกิดขึ้นล่าช้าหลังสัมผัส 2-24 ชั่วโมง
2. ดวงตา (Eyes)
แอมโมเนียละลายในน้ำตากลายเป็น NHOH และทำลายดวงตาได้อย่างรวดเร็ว:
กัดกร่อนกระจกตาและเยื่อบุตา ทำให้ตาฝ้ามัวทันที
ทำให้เลนส์ตาขุ่น อาจนำไปสู่ต้อกระจก
เพิ่มความดันในลูกตา (Glaucoma) จากการอักเสบรุนแรง
การเจาะกระจกตา อาจทำให้ตาบอดได้
3. ผิวหนัง (Skin)
เกิดการเผาไหม้แบบด่าง ลึกและรุนแรง แผลมีสีน้ำตาลและลื่นจากการละลายของโปรตีน ใช้เวลารักษานาน
4. ระบบอื่นๆ (เมื่อสัมผัสในระดับสูงมาก)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด: อาจทำให้ความดันโลหิตตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และช็อก
ระบบประสาท: การขาดออกซิเจนรุนแรงทำให้สมองบวมและเสียหายได้
ผลกระทบระยะยาว (Long-Term Effects หรือ Sequelae) แม้ผู้ป่วยจะรอดชีวิตจากระยะแรก ก็อาจมีผลถาวร เช่น
1. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
2. หลอดลมตีบและหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis)
3. พังผืดในปอด (Pulmonary Fibrosis)
4. ทางเดินหายใจตีบจากแผลเป็น (Airway Stenosis)
5. ต้อกระจกและต้อหิน
6. ความผิดปกติทางจิตใจ เช่น PTSD วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
การจัดการทางการแพทย์ (Medical Management)
1. นำผู้ป่วยออกจากแหล่งก๊าซ โดยผู้ช่วยเหลือต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน
2. ให้ออกซิเจน 100% ทันที
3. ประเมินและรักษาทางเดินหายใจ หากบวมมากอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจก่อนบวมจนใส่ไม่ได้
4. ล้างตาและผิวหนังด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก อย่างน้อย 15-30 นาที
5. ให้ยาขยายหลอดลมและยาพ่นผ่านเครื่องช่วยหายใจ
6. รักษาใน ICU สำหรับผู้ป่วยที่มี ARDS หรือภาวะช็อก
สรุป
การรั่วของแอมโมเนียเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ร้ายแรง กลไกหลักคือการเผาไหม้ด้วยด่างและการอักเสบ ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและดวงตาโดยตรง ผลระยะสั้นอาจทำให้เสียชีวิตจากการอุดกั้นทางเดินหายใจหรือปอดล้มเหลว ส่วนผลระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรังและความพิการทางดวงตาได้ การรักษาต้องเร่งด่วนและเข้มข้น โดยเน้นการดูแลทางเดินหายใจและการคงการทำงานของอวัยวะสำคัญ