คำถาม : โดนสุนัขกัด ทำไมต้องฉีดวัคซีน ?
คำถาม : โดนสุนัขกัด ทำไมต้องฉีดวัคซีน ?
เมื่อถูกสุนัขกัด การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เพราะโรคนี้เป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
เหตุผลที่ต้องฉีดวัคซีนหลังถูกสุนัขกัด
1. โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรง
เกิดจากไวรัส rabies ที่ส่งผลต่อระบบประสาท
หากแสดงอาการแล้ว เกือบ 100% เสียชีวิต เพราะยังไม่มียารักษา
2. ไวรัสอยู่ในน้ำลายสัตว์
ติดต่อผ่านบาดแผลจากกัดหรือข่วน
แม้แผลเล็กก็เสี่ยงติดเชื้อได้
3. สุนัขอาจมีเชื้อโดยไม่แสดงอาการ
สุนัขที่ดูปกติอาจแพร่เชื้อได้ (ระยะฟักตัว 3-8 สัปดาห์)
หากสุนัขหายไปหรือตายหลังกัด จะตรวจเชื้อไม่ได้
4. วัคซีนช่วยป้องกันได้ทัน
ฉีด immunoglobulin (RIG) ร่วมกับวัคซีน rabies เพื่อยับยั้งไวรัสก่อนถึงระบบประสาท
ต้องฉีดให้ครบชุด (ปกติ 4-5 เข็ม ภายใน 1 เดือน)
สิ่งที่ต้องทำทันทีหลังถูกกัด
1. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ 15 นาที เพื่อลดปริมาณไวรัส
2. ไปโรงพยาบาลหรือศูนย์วัคซีนทันที (ยิ่งเร็ว ยิ่งลดความเสี่ยง)
3. สังเกตอาการสุนัข (หากเลี้ยงเอง ให้กักดู 10 วัน หากเป็นสุนัขจรจัด ควรฉีดวัคซีนเลย)
แม้จะเคยฉีดวัคซีนมาก่อน แต่หากถูกกัดอีก ควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงใหม่เสมอ
หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้ออาจเข้าสมองและทำให้เสียชีวิตภายในไม่กี่วันถึงเดือน ดังนั้นอย่าชะล่าใจ
รายละเอียดเชิงลึกทางการแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนหลังถูกสุนัขกัด (โรคพิษสุนัขบ้า Rabies)
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เป็นโรคไวรัสระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) ที่ร้ายแรง เกิดจาก Rabies virus (RABV) ในสกุล Lyssavirus ครอบครัว Rhabdoviridae เมื่อติดเชื้อและแสดงอาการแล้ว อัตราตายเกือบ 100%
1. กลไกการติดเชื้อและพยาธิกำเนิด (Pathogenesis)
1.1 การเข้าสู่ร่างกาย
ไวรัสอยู่ในน้ำลายสัตว์ติดเชื้อ (สุนัข, แมว, ค้างคาว เป็นต้น)
เข้าสู่ร่างกายผ่าน
บาดแผลถูกกัดหรือข่วน
เยื่อเมือก (ตา, ปาก)
1.2 การแพร่กระจายในร่างกาย
ระยะฟักตัว (Incubation period)
โดยเฉลี่ย 20-90 วัน (บางรายเพียง 5 วัน หรือนานเกิน 1 ปี)
ขึ้นกับตำแหน่งแผล (ยิ่งใกล้สมอง เช่น ศีรษะ/ใบหน้า ยิ่งเร็ว), จำนวนไวรัสที่ได้รับ, ภูมิคุ้มกันผู้ป่วย
การเดินทางของไวรัส
ไวรัสเข้าไปในเซลล์กล้ามเนื้อหรือเซลล์ประสาทบริเวณแผล
เข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ขึ้นสู่ไขสันหลัง สมอง (CNS)
จากนั้นแพร่กลับไปยังต่อมน้ำลาย ทำให้สัตว์หรือคนมีน้ำลายที่มีไวรัส
การทำลายระบบประสาท
ทำให้เกิดสมองอักเสบ (encephalitis) และเซลล์ประสาทตาย (neuronal apoptosis)
อาการที่พบ เช่น กลัวน้ำ (Hydrophobia), สับสน, อัมพาต, ชัก, โคม่า และเสียชีวิต
2. การวินิจฉัย (Diagnosis)
2.1 ในสัตว์
Direct Fluorescent Antibody Test (dFA) ตรวจหา viral antigen ในสมองสัตว์
PCR ตรวจสารพันธุกรรมไวรัส
2.2 ในมนุษย์ (ก่อนแสดงอาการ)
RT-PCR จากน้ำลาย, ผิวหนัง หรือ CSF
Skin biopsy ตรวจ viral antigen ที่รากขน
Serology ตรวจแอนติบอดี (แต่มักพบหลังอาการแล้ว)
2.3 เมื่อแสดงอาการ
ใช้อาการทางคลินิกและประวัติถูกกัดในการวินิจฉัย (แต่สายเกินรักษา)
3. การป้องกันและรักษา (Post-Exposure Prophylaxis PEP)
3.1 การทำแผล
ล้างแผลทันทีด้วยน้ำสะอาดและสบู่ไม่น้อยกว่า 15 นาที
ใช้โพวิโดนไอโอดีน หรือเอทิลแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดไวรัส
3.2 การให้วัคซีน (Rabies Vaccine)
รูปแบบวัคซีน
Cell-culture vaccines (ปลอดภัยกว่าแบบเก่าที่ทำจากสมองสัตว์) เช่น Verorab, Rabipur, HDCV (Human Diploid Cell Vaccine)
โปรแกรมการฉีด (WHO 2022)
มาตรฐาน: ฉีด 5 ครั้ง (วันที่ 0, 3, 7, 14, 28)
แบบเร่ง: ฉีด 4 ครั้ง (วันที่ 0, 3, 7, 14) ในกรณีเสี่ยงสูง
3.3 การให้ Rabies Immunoglobulin (RIG)
ใช้ในผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน
ชนิด
Human RIG (HRIG) 20 IU/kg
Equine RIG (ERIG) 40 IU/kg (อาจมีอาการแพ้)
วิธีให้: ฉีดรอบแผลเพื่อทำลายไวรัสก่อนเข้าประสาท
3.4 กรณีเคยฉีดวัคซีนมาก่อน
ไม่ต้องให้ RIG
ฉีดวัคซีน 2 ครั้ง (วันที่ 0 และ 3) เพื่อกระตุ้นภูมิ
4. ทำไมต้องฉีดแม้สุนัขไม่ตาย
สุนัขอาจอยู่ในระยะฟักตัว (ไม่แสดงอาการแต่แพร่เชื้อได้)
หากสุนัขตายหรือหายไปภายใน 10 วัน ถือว่ามีความเสี่ยงสูง
หากสุนัขมีชีวิตเกิน 10 วันและไม่มีอาการ อาจหยุดฉีดได้
5. สถานการณ์ที่ต้องฉีดวัคซีนทันที
ถูกสัตว์ป่า (ค้างคาว, ลิง) กัดหรือข่วน
แผลลึกหรือใกล้สมอง (ใบหน้า, คอ, มือ)
สุนัขไม่สามารถตรวจสอบได้ (เช่น สุนัขจรจัดหนีไป)
6. ข้อควรรู้เพิ่มเติม
ไม่มีระยะปลอดภัย 100% แม้แผลเล็กก็เสี่ยงได้
หากแสดงอาการ เช่น กลัวน้ำ, กลัวลม, ชัก การรักษาเป็นแบบประคับประคอง (เกือบทั้งหมดเสียชีวิต)
วัคซีนราคาไม่แพงและปลอดภัย (ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ฉีด)
สรุป
การฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าหลังถูกกัดเป็นมาตรการป้องกันเดียวที่ได้ผล 100% หากทำทันเวลา โดยต้องฉีดทั้งวัคซีนและ RIG ในกรณีเสี่ยงสูง อย่าประมาท เพราะเมื่อแสดงอาการแล้วไม่มียารักษาให้หายได้
รายละเอียดเชิงลึกทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าและการจัดการหลังสัมผัสเชื้อ (Rabies Post-Exposure Prophylaxis PEP)
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS) ที่มีอัตราตาย 100% เมื่อแสดงอาการ เนื่องจากยังไม่มีการรักษาที่ได้ผลในระยะ symptomatic phase การป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) จึงเป็นมาตรการเดียวที่ช่วยชีวิตได้
1. ไวรัสวิทยา (Virology)
1.1 โครงสร้างของ Rabies Virus (RABV)
Family: Rhabdoviridae
Genus: Lyssavirus (มี 17 สปีชีส์, สายพันธุ์ที่สำคัญในมนุษย์คือ Rabies virus)
ลักษณะไวรัส:
รูปทรงกระสุน (Bullet-shaped)
Single-stranded RNA virus (ความยาวประมาณ 12 kb)
หุ้มด้วยเปลือกไขมัน (Lipid envelope)
Glycoprotein (G protein) บนผิวไวรัสทำหน้าที่จับกับ Nicotinic Acetylcholine Receptor (nAChR) หรือ Neural Cell Adhesion Molecule (NCAM) เพื่อเข้าสู่เซลล์ประสาท
1.2 กลไกการติดเชื้อในระดับโมเลกุล
Viral Attachment: G protein จับกับ nAChR ที่ neuromuscular junction หรือใช้ NCAM, p75NTR, mGluR2 เป็นตัวรับอื่น
Viral Entry & Uncoating: เข้าเซลล์ผ่าน Clathrin-mediated endocytosis membrane fusion ปล่อย viral RNP เข้าสู่ไซโตพลาสซึม
Viral Replication: L protein ถอดรหัส mRNA สำหรับสร้างโปรตีน N, P, M, G, L และสร้าง genomic RNA ใหม่
Axonal Transport: เคลื่อนผ่าน Retrograde axonal transport ด้วย dynein (อัตรา 1-10 มม./วัน)
Spread to CNS: เข้าสู่ไขสันหลัง สมอง แพร่กลับสู่เส้นประสาทส่วนปลายและต่อมน้ำลาย
2. พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
2.1 กลไกการทำลายระบบประสาท
Neuroinflammation: กระตุ้น microglia และ astrocytes ปล่อย IL-6, TNF-α ทำลาย BBB
Neuronal Dysfunction: รบกวนการปล่อยสารสื่อประสาท โดยเฉพาะ GABA และ Glycine ทำให้ hyperexcitability, ชัก, และ autonomic dysregulation
Apoptosis & Neuronal Loss: กระตุ้น mitochondrial-mediated apoptosis และพบ Negri bodies ในเซลล์ประสาท
2.2 อาการทางคลินิก
Prodromal Phase (2-10 วัน): ไข้, ปวดหัว, คลื่นไส้, อาการคัน/ปวดแผลเก่า
Acute Neurologic Phase:
Encephalitic (Furious) Rabies: กระสับกระส่าย, กลัวน้ำ, กลัวลม, กลืนลำบาก, เพ้อ, ชัก
Paralytic (Dumb) Rabies: อัมพาตคล้าย Guillain-Barré
Coma & Death (ภายใน 7 วัน): ระบบหายใจล้มเหลว, arrhythmia, brain death
3. การวินิจฉัย (Diagnosis)
ในสัตว์: RT-PCR จากน้ำลาย, dFA จาก corneal impression
ในมนุษย์ก่อนแสดงอาการ: RT-PCR จากน้ำลาย/รากขน/CSF, skin biopsy, serology
ในมนุษย์หลังแสดงอาการ: MRI brain พบ T2 hyperintensity ใน basal ganglia/thalamus/brainstem, CSF pleocytosis
4. การจัดการหลังสัมผัสเชื้อ (PEP)
4.1 การทำแผล: ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ 15 นาที, ใช้ povidone-iodine หรือแอลกอฮอล์ 70%, หลีกเลี่ยงเย็บแผล (ถ้าจำเป็นเย็บหลวมหลังให้ RIG)
4.2 การให้ Rabies Immunoglobulin (RIG):
ชนิด: HRIG 20 IU/kg, ERIG 40 IU/kg
วิธีให้: 80% infiltrate รอบแผล, 20% ฉีด IM ที่กล้ามเนื้อไกลจากวัคซีน
4.3 การฉีดวัคซีน (Rabies Vaccine):
Verorab (PVRV): Essen regimen (0, 3, 7, 14, 28)
Rabipur (PCECV): Zagreb regimen (2-1-1: วันที่ 0 ฉีด 2 จุด, วันที่ 7, 21)
HDCV: Essen regimen
4.4 ข้อพิจารณาพิเศษ: เด็กให้ขนาดเท่าผู้ใหญ่ (RIG ตามน้ำหนัก), หญิงตั้งครรภ์ปลอดภัย, ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรตรวจระดับ antibody
5. การป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP)
กลุ่มเสี่ยง: สัตวแพทย์, นักวิจัย, นักท่องเที่ยวในพื้นที่ระบาด
โปรแกรม: 3 ครั้ง (0, 7, 21 หรือ 28) ตรวจ antibody ตามความเสี่ยง
6. การรักษาเมื่อแสดงอาการ
Milwaukee Protocol: ชักนำโคม่า ketamine, ribavirin, amantadine (มีผู้รอดชีวิตน้อยมาก)
Monoclonal antibodies: ยังอยู่ในขั้นวิจัย
7. ข้อสรุปสำคัญ
ไวรัสเข้าสู่ระบบประสาทผ่าน retrograde axonal transport
PEP ต้องให้เร็วที่สุดก่อนเชื้อเข้าประสาท
ผู้ไม่เคยฉีดต้องได้ทั้ง RIG และวัคซีน
เมื่อแสดงอาการแล้วเสียชีวิต 100%
หากถูกกัด ควรล้างแผลและไปโรงพยาบาลทันที เพราะ PEP ให้ประสิทธิภาพป้องกันได้ 100% หากทำก่อนแสดงอาการ