คำถาม : Chest compression Fraction คืออะไรสำคัญยังไงกับการปั้มหัวใจ
Chest compression Fraction คืออะไรสำคัญยังไงกับการปั้มหัวใจ ??
Chest Compression Fraction (CCF) หรือ อัตราส่วนการกดหน้าอกในการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการปั๊มหัวใจ (CPR) โดยเฉพาะในบริบทของการให้การช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้น (Out-of-Hospital Cardiac Arrest, OHCA หรือ In-Hospital CPR)
ความหมายของ Chest Compression Fraction (CC)
Chest Compression Fraction (CCF) คือ อัตราส่วนของเวลาที่ทำการ "กดหน้าอก" ในระหว่างการทำ CPR เมื่อเทียบกับเวลาทั้งหมดของการให้การช่วยฟื้นคืนชีพ (Resuscitation time)
- มักแสดงในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ (%)
- เช่น CCF = 80% หมายถึง 80% ของเวลาทั้งหมดใน CPR ใช้ไปกับการกดหน้าอกจริง ๆ
ทำไม CCF จึงสำคัญ ?
การรักษาระดับ CCF สูงมีความสำคัญมาก เนื่องจาก
1. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด (Coronary and Cerebral Perfusion Pressure)
- การกดหน้าอกอย่างต่อเนื่องช่วยสร้างแรงดันในหลอดเลือดแดงซึ่งจำเป็นสำหรับการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังสมองและหัวใจ
- การหยุดกดหน้าอกแม้เพียงไม่กี่วินาทีจะทำให้แรงดันลดลง และต้องใช้เวลาในการสร้างแรงดันใหม่
2. เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตและการกลับมาหายใจเองได้ (ROSC - Return of Spontaneous Circulation)
- การศึกษาพบว่า CCF 60%-70% มีความสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น
- CCF ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เช่น <50% อาจลดโอกาสการรอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. ลดความเสียหายของเซลล์ประสาท (Neurological Outcome)
- สมองไวต่อขาดออกซิเจนมาก การหยุดกดหน้าอกนาน ๆ อาจทำให้เกิดภาวะสมองตายหรือพิการทางระบบประสาทถาวร
ระดับโมเลกุลและสรีรวิทยา (Physiology & Molecular Level) ขณะกดหน้าอก CPR
1. Mechanical Compression Circulatory Flow
- การกดหน้าอกทำให้เกิดแรงดันในช่องอก (Intrathoracic pressure)
- แรงดันนี้ช่วยดันเลือดออกจากหัวใจและหลอดเลือดใหญ่ (Aorta) ส่งเลือดไปยังสมองและหัวใจชั่วคราว
- ระหว่างยกมือ ความดันลดลง ทำให้เลือดกลับเข้าสู่หัวใจ เตรียมรอบใหม่
2. Cellular Level Oxygen Delivery and ATP Production
- เซลล์ต้องการออกซิเจนในการผลิตพลังงาน (ATP) ผ่านกระบวนการ Oxidative Phosphorylation ใน Mitochondria
- หากขาดออกซิเจนนานเกิน 46 นาที เซลล์เริ่มตายแบบ Necrosis หรือ Apoptosis
- การรักษา CCF สูงช่วยให้ยังมีเลือดไหลเวียน ช่วยนำ O2 และ Glucose ไปยังเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจ
3. Lactate Accumulation and Acidosis
- เมื่อเลือดไหลไม่พอ เซลล์จะเปลี่ยนไปใช้ Glycolysis (Anaerobic metabolism)
- ทำให้เกิดกรดแล็กติกสะสม Lactic acidosis ลดประสิทธิภาพของยา (เช่น Adrenaline) และลดการทำงานของหัวใจ
4. Mitochondrial Dysfunction
- การขาดออกซิเจนนาน ๆ อาจทำให้ Mitochondria ทำงานผิดปกติ แม้จะมีออกซิเจนกลับมาภายหลัง (Reperfusion Injury)
- ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ Multiple Organ Failure แม้ผู้ป่วยจะกลับมามีชีพจร
วิธีคำนวณ Chest Compression Fraction (CCF)
CCF (%) = (Total Compression Time / Total Resuscitation Time) × 100
ตัวอย่าง
- CPR ใช้เวลาทั้งหมด 5 นาที (300 วินาที)
- กดหน้าอกจริง ๆ รวม 240 วินาที
- CCF = (240 / 300) × 100 = 80%
เป้าหมาย CCF ที่แนะนำ
| แหล่งข้อมูล | ค่า CCF ที่แนะนำ |
| AHA/ILCOR Guidelines | 60% - 70% |
| งานวิจัยหลายฉบับ | 80% เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด |
วิธีเพิ่ม CCF
1. ลดการหยุดกดหน้าอกโดยไม่จำเป็น
- เช่น ระหว่างตรวจชีพจร, เปลี่ยนมือ, เตรียม defibrillator
2. ฝึกอบรม CPR อย่างต่อเนื่อง
- เพื่อลดเวลาเปลี่ยนมือ (Handoff) และปรับเทคนิค
3. ใช้อุปกรณ์ช่วย CPR (เช่น Mechanical CPR devices)
- ช่วยให้กดหน้าอกต่อเนื่องได้แม้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย
4. ใช้ Feedback Devices
- เช่น CPR feedback monitors ช่วยให้รู้ว่าเรากดหน้าอกได้ถูกต้องและต่อเนื่องแค่ไหน
สรุป ทำไม CCF จึงสำคัญ?
| ประเด็น | รายละเอียด |
| Chest Compression Fraction (CCF) | คือ % ของเวลาที่กดหน้าอกจริง ๆ ในการทำ CPR |
| เหตุผลที่สำคัญ | เพราะการกดหน้าอกต่อเนื่องช่วยให้มีเลือดไหลเวียนไปสมองและหัวใจ เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความเสียหายของเซลล์ |
| ระดับโมเลกุล | ช่วยรักษาระดับออกซิเจนและพลังงานในเซลล์ ลดภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia), กรดแล็กติกสะสม และ mitochondrial dysfunction |
| เป้าหมาย | ควรมี CCF 60%-80% ตามแนวทางและงานวิจัย |
| วิธีเพิ่ม CCF | ลดการหยุดกดหน้าอก, ฝึกฝน, ใช้อุปกรณ์เสริม และ monitor คุณภาพ CPR |
Chest Compression Fraction (CCF) และความสำคัญของการปั๊มหัวใจ (CPR)
1. Chest Compression Fraction (CCF) รายละเอียดเพิ่มเติม
แนวคิดทางฟิสิกส์ของการกดหน้าอก
- การกดหน้าอกทำให้เกิดแรงดันในช่องอก (Intrathoracic Pressure)
- แรงดันนี้ช่วยในการเคลื่อนที่ของเลือดผ่านหลอดเลือดใหญ่ (Aorta) ส่งเลือดไปยังสมองและหัวใจ
- เมื่อยกลดแรงดัน (ระหว่างยกมือ) เลือดจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจ กระบวนการนี้เรียกว่า "Thoracic Pump Mechanism"
> ️ หากหยุดกดนานเกิน 5-10 วินาที จะต้องใช้เวลาประมาณ 30-60 วินาทีในการสร้างแรงดันใหม่ ซึ่งเป็นการเสียโอกาสสำคัญในการรักษาชีวิต
2. ระดับโมเลกุล ผลกระทบของการขาดออกซิเจน (Hypoxia)
กระบวนการหายใจระดับเซลล์ (Cellular Respiration)
- เซลล์ต้องการ O2 เพื่อผลิตพลังงาน (ATP) ผ่านกระบวนการ Electron Transport Chain (ETC) ใน Mitochondria
- เมื่อไม่มี O2 เซลล์เปลี่ยนไปใช้ Glycolysis แบบ Anaerobic ได้ ATP น้อยมาก (เพียง 2 โมเลกุล/กลูโคส) และสร้างกรดแล็กติก
ผลที่ตามมา
| ผลกระทบ | คำอธิบาย |
| Lactic Acidosis | กรดแล็กติกสะสม pH ในเลือดลดลง ลดประสิทธิภาพของยา เช่น Adrenaline |
| Mitochondrial Dysfunction | ขาด O2 นาน Mitochondria ทำงานผิดปกติแม้หลังจากรีเซ็ตหัวใจสำเร็จ |
| Reperfusion Injury | เมื่อเลือดกลับมาไหลเวียน Free radicals เพิ่ม ทำลายเซลล์เพิ่มเติม |
| Neuronal Damage | เซลล์ประสาทไวต่อการขาดออกซิเจนภายใน 4-6 นาที อาจทำให้เกิดพาร์กินสันหรือภาวะสมองตายถาวร |
3. ระดับระบบอวัยวะ ผลกระทบจาก CPR ที่ไม่ต่อเนื่อง
สมอง (Brain)
- สมองต้องการ O2 ต่อเนื่องตลอดเวลา
- การหยุดกดหน้าอกนาน ๆ สมองขาดเลือด เกิด Ischemic Stroke, Cerebral Edema, Neuronal Death
- ผลระยะยาว Cognitive Deficit, Coma หรือ Vegetative State
หัวใจ (Heart)
- กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) ไวต่อภาวะขาดออกซิเจน, ขาด ATP, หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias)
- หากไม่มี Perfusion Myocardial Infarction หรือ Heart Failure อาจตามมา
ปอด (Lungs)
- ปอดต้องการการไหลเวียนของเลือดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซ
- หากไม่มีการไหลเวียน Alveoli อาจบวม, มีการรั่วของโปรตีน Acute Respiratory Distress Syndrome (ARDS)
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
- การไหลเวียนไม่เพียงพอ Hypotension Shock Organ Failure
- การไหลเวียนที่ดีจากการมี CCF สูง ช่วยให้ยาที่ฉีดเข้า IV มีประสิทธิภาพ
4. แนวทางการปรับปรุง CCF จากงานวิจัยล่าสุด
งานวิจัยหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า
| งานวิจัย | สรุปผล |
| Kramer-Johansen et al., 2006 | CCF > 70% มี ROSC สูงขึ้น |
| Bobrow et al., 2008 | CCF 80% ช่วยเพิ่ม survival with good neurological outcome |
| Perkins et al., 2015 (PARAMEDIC Trial) | การใช้ Feedback Devices ช่วยเพิ่ม CCF และลด pauses ระหว่าง CPR |
| Soar et al., 2020 (ERC Guidelines) | แนะนำให้ฝึก CPR เป็นประจำเพื่อลด pause time และเพิ่ม quality of compressions |
5. วิธีการเพิ่ม CCF ในทางปฏิบัติ
| วิธี | คำอธิบาย |
| Minimize interruptions | ไม่หยุดกดหน้าอกโดยไม่จำเป็น เช่น ตรวจชีพจร, จัดวางเครื่อง AED |
| Team Coordination | ฝึกการทำงานเป็นทีม เช่น ให้คนหนึ่งเตรียม defibrillator ในขณะที่อีกคนยังกดหน้าอก |
| Use Mechanical CPR Devices | อุปกรณ์เช่น LUCAS ช่วยกดหน้าอกต่อเนื่องได้แม้เคลื่อนย้ายผู้ป่วย |
| Real-time CPR Feedback Devices | แจ้งเตือนหากความลึกหรือความเร็วของการกดไม่เหมาะสม |
| High-quality CPR Training | ฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษามาตรฐาน CPR และลด fatigue |
สรุปแบบเข้าใจง่าย
Chest Compression Fraction (CCF) คือ "เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่เรากดหน้าอกจริง ๆ ในการทำ CPR"
- ยิ่ง CCF สูงเท่าไหร่ เลือดไหลเวียนได้ดีเท่านั้น สมองและหัวใจยังคงมีชีวิต
- ถ้าหยุดกดหน้าอกนาน เซลล์สมองตายเร็ว โอกาสฟื้นตัวน้อย
- ระดับโมเลกุล ขาด O หมดพลังงาน (ATP) กรดแล็กติกสะสม เซลล์ตาย
- ระดับระบบอวัยวะ สมอง หัวใจ ปอด ได้รับผลกระทบ อาจเสียชีวิตหรือพิการถาวร
- ควรรักษาระดับ CCF ไว้ที่ 80% เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ใช้เทคนิคทีมเวิร์ค + อุปกรณ์ช่วย + การฝึกฝน เพิ่ม CCF ได้