แชร์

ควรจัดเก็บตัวอย่างจากการเจาะเลือด ยังไงดี ?

7 ผู้เข้าชม
ควรจัดเก็บตัวอย่างจากการเจาะเลือด ยังไงดี?

การจัดการกับตัวอย่าง (Specimen Handling)
หลักการพื้นฐานของการติดฉลากที่ถูกต้อง (The Basics)
ควรทำการติดฉลาก ที่ข้างเตียงผู้ป่วย (Bedside) ทันทีหลังจากเจาะเลือดเสร็จ และต้องตรวจสอบความถูกต้องกับผู้ป่วยก่อนเจาะเลือดทุกครั้ง

ข้อมูลที่ต้องมีบนฉลาก (Crucial Information)
ข้อมูลต่อไปนี้ต้อง ชัดเจนและครบถ้วน:
ชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย (Full Name): ต้องตรงกับใบ requistion และใบสั่งแพทย์ทุกตัวอักษร
หมายเลขประจำตัวผู้ป่วย (Patient ID/ HN): เป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดเพราะเป็น Unique Identifier
วันที่และเวลาที่เก็บตัวอย่าง (Date & Time of Collection): ช่วยในการตีความผลลัพธ์ โดยเฉพาะค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา (เช่น ระดับยาต้านการแข็งตัวของเลือด, ฮอร์โมน)
首字母ของผู้เจาะเลือด (Phlebotomist's Initials): เพื่อให้สามารถติดตามและสอบถามได้หากมีปัญหา

เทคนิคและการปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices)
1. การยืนยันตัวผู้ป่วย (Patient Identification)
ต้องทำ 2 ครั้ง: ก่อนเจาะเลือดและก่อนติดฉลาก
วิธี: ถามผู้ป่วยให้บอก ชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิด ด้วยตัวเอง เปรียบเทียบกับข้อความบนข้อมือผู้ป่วยและใบสั่งตรวจ
ห้ามเรียกชื่อผู้ป่วยแล้วรอให้ตอบรับ เพราะผู้ป่วยอาจได้ยินผิดหรือสับสน
2. การติดฉลากที่ถูกวิธี
ติดบนหลอดเลือดที่ตรงและสะอาด (ไม่ติดบนส่วนที่เป็นสลากของหลอดเลือด)
ห้ามติดฉลากปิดบังระดับการดูดเลือด (Fill Line) ของหลอดเลือดที่ต้องเติมให้ได้ระดับ
ติดฉลากในแนวตั้ง (แนวตั้ง) เพื่อให้อ่านง่าย
อย่าวางฉลากทับกัน เพราะอาจหลุดล่อนได้
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฉลากติดแน่น ไม่มีมืองอ หรือเสี่ยงต่อการหลุด
3. ข้อห้ามสำคัญ (What NOT to Do)
ห้ามติดฉลากล่วงหน้า ก่อนเจาะเลือด เพราะอาจเกิดการสลับหลอดเลือดระหว่างเจาะผู้ป่วยหลายคนได้
ห้ามติดฉลากผิดหลอด (เช่น เอาฉลากของนาย A ไปติดหลอดเลือดของนาย B)
ห้ามเขียนข้อมูลบนหลอดเลือดโดยตรง ยกเว้นเป็นหลอดเลือดที่ออกแบบมาให้เขียนได้โดยเฉพาะ
ห้ามใช้เครื่องหมายแก้ไข (ลิควิดเปเปอร์) ปกปิดข้อมูลเดิม
ห้ามติดฉลากบนหลอดเลือดที่รั่วหรือแตก

กรณีศึกษาพิเศษ (Special Cases)
1. ผู้ป่วยที่ไม่สามารถยืนยันตัวได้ (Unidentifiable Patients)
ในกรณีการรักษาฉุกเฉินหรือผู้ป่วยหมดสติ ต้องใช้ ข้อมือผู้ป่วย (Patient Wristband) เป็นหลัก
หากไม่มีข้อมือผู้ป่วย ต้องใช้วิธีการการตั้งชื่อชั่วคราว เช่น "John Doe 1" พร้อมหมายเลขประจำตัวชั่วคราว และต้องติดตามข้อมูลส่วนตัวที่ถูกต้องให้เร็วที่สุด
2. การเจาะเลือดจาก Line ที่มีอยู่แล้ว (Drawing from a Line)
ต้องระบุ แหล่งที่มา (Source) ของตัวอย่างเลือดบนฉลากเพิ่มเติม เช่น "จาก CVP Line" หรือ "จาก Arterial Line"
ต้องบันทึกเวลาที่เก็บตัวอย่างและเวลาที่เก็บเลือดครั้งล่าสุดจาก Line นั้น (สำหรับการตรวจบางประเภท)
3. ตัวอย่างเลือดสำหรับการตรวจพิเศษ
การตรวจจุลชีววิทยา (Blood Culture): ต้องระบุ หมายเลขขวด (Bottle Number) และ 部位ที่เจาะ (Collection Site) (เช่น, Left Arm) หากเก็บจากหลาย
การตรวจทางพิษวิทยาหรือระดับยา: ต้องระบุเวลาที่เก็บตัวอย่างให้ ชัดเจนและแม่นยำ

กระบวนการทำงานเพื่อลดความผิดพลาด
โรงพยาบาลหรือแล็บที่ดีควรมีกระบวนการที่ทําให้เป็นมาตรฐาน:
One Patient One Time: จัดการเจาะเลือดและติดฉลากให้เสร็จสำหรับผู้ป่วยหนึ่งคน ก่อนจะไปยังผู้ป่วยถัดไป
ใช้ Barcode System: เป็นระบบที่ดีที่สุดในการลดความผิดพลาด ข้อมูลผู้ป่วยจะถูกพิมพ์เป็นบาร์โค้ดจากระบบ และผู้เจาะเลือดจะสแกนบาร์โค้ดจากข้อมือผู้ป่วยก่อนพิมพ์ฉลากและติดบนหลอดเลือด
การตรวจสอบซ้ำ (Double-Check): มีการตรวจสอบความถูกต้องของฉลากโดยพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่อีกครั้งก่อนส่งไปยังห้องปฏิบัติการ
สรุป
การติดฉลากหลอดเลือดที่ดียึดหลัก "Right Patient, Right Tube, Right Label" คือ
ผู้ป่วยถูกต้อง (ยืนยันตัวตน 2 ครั้ง)
หลอดเลือดถูกต้อง (ใช้หลอดเลือดตามประเภทการตรวจ)
ฉลากถูกต้อง (ติดทันทีที่ข้างเตียง, ข้อมูลครบ, ติดแน่น, อ่านง่าย)

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy