ทำไมต้องกดหน้าอก ให้ลึก 5-6 ซม?

ทำไมต้องกดหน้าอก ให้ลึก 5-6 ซม?
การกดหน้าอกให้ลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร ในการทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน) เป็นคำแนะนำมาตรฐานสากลจากสมาคมโรคหัวใจต่างๆ เช่น American Heart Association (AHA) และ European Resuscitation Council (ERC)
เหตุผลหลักมีดังนี้:
1. เพื่อให้หัวใจบีบตัวและส่งเลือดไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* กลไกการบีบ: เมื่อเรากดหน้าอกลึกๆ เรากำลังบีบหัวใจที่อยู่ระหว่างกระดูกหน้าอกและกระดูกสันหลังให้เลือดถูกสูบฉีดออกไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญอื่นๆ
* ปริมาณเลือดที่เพียงพอ: การกดที่ตื้นเกินไปจะทำให้เลือดถูกสูบฉีดออกมาไม่เพียงพอ ไม่สามารถรักษาการทำงานของสมองและหัวใจไว้ได้ การศึกษาพบว่าการกดที่ลึก 5-6 ซม. เป็นความลึกที่ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดได้ดีที่สุด
2. เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
* หลักฐานทางวิทยาศาสตร์: มีการวิจัยทางคลินิกมากมายที่ยืนยันว่าการกดหน้าอกที่มีคุณภาพ ซึ่งรวมถึงความลึกที่เหมาะสม (5-6 ซม.) อัตราเร็วพอ (100-120 ครั้ง/นาที) และปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น
* สมองขาดเลือด: สมองเป็นอวัยวะที่ทนต่อการขาดออกซิเจนได้น้อยมาก หากขาดออกซิเจนเกิน 4-6 นาที อาจเกิดความเสียหายถาวรได้ การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพคือการช่วยส่งเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเพื่อยื้อเวลาให้ความช่วยเหลือขั้นสูงมาถึง
3. เป็นค่ามาตรฐานที่ปลอดภัยและได้ผลสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
* ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย: แม้ว่าการกดหน้าอกอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเช่นกระดูกซี่โครงหักได้ แต่ในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น "การช่วยชีวิตสำคัญกว่าความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ" ค่ามาตรฐาน 5-6 ซม. นี้เป็นค่าที่พบว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดและยังคงอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่จะไม่ทำอะไรเลย
* การปรับใช้: ค่านี้เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ โดยทั่วไป สำหรับเด็กและทารก ความลึกในการกดหน้าอกจะแตกต่างออกไป (ประมาณ 1/3 ของความลึกหน้าอก)
สรุปสั้นๆ:
การกดหน้าอกให้ลึก 5-6 ซม. เป็นความลึกที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า สามารถสร้างการไหลเวียนเลือดได้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วย โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงเกินไป เมื่อเทียบกับอันตรายจากการที่หัวใจหยุดเต้น
ข้อควรจำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ CPR ที่มีคุณภาพ:
* ความเร็ว: กดให้ได้ 100 - 120 ครั้ง ต่อนาที (จังหวะประมาณเพลง "Stayin' Alive" ของ Bee Gees)
* ปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่: หลังจากกดแล้วต้องปล่อยให้หน้าอกกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติทุกครั้ง เพื่อให้หัวใจได้รับเลือดกลับมาเต็มที่
* ไม่หยุดกด: พยายามกดต่อเนื่องโดยหยุดพักให้น้อยที่สุด เพราะทุกวินาทีที่หยุดหมายความว่าไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง
1. กลไกทางชีวฟิสิกส์ของการไหลเวียนเลือดระหว่างการกดหน้าอก
1.1 "Thoracic Pump Mechanism" vs "Cardiac Pump Mechanism"
* Cardiac Pump Theory (ทฤษฎีเดิม): เชื่อว่าการกดหน้าอกทำให้หัวใจถูกบีบระหว่างกระดูกหน้าอกและกระดูกสันหลังโดยตรง
* Thoracic Pump Theory (ทฤษฎีปัจจุบัน): หลักฐานสมัยใหม่สนับสนุนว่าการกดหน้าอกทำให้เกิดการเพิ่มความดันในช่องอก (intrathoracic pressure) โดยรวม ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้เลือดไหลเวียน
* กลไก:
* การกดหน้าอกที่ลึกพอจะทำให้ความดันในช่องอกเพิ่มขึ้นอย่างมาก
* ลิ้นหัวใจต่างๆ ทำงานตามธรรมชาติ (mitral valve ปิด, aortic valve เปิด)
* เลือดถูก "บีบ" ออกจากช่องหัวใจและออกจากปอดไปยังระบบไหลเวียนเลือด
1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกกับการไหลเวียนเลือด
* Stroke Volume: การกดหน้าอกที่ลึก 5-6 ซม. สร้าง stroke volume ประมาณ 30-40% ของค่าปกติ
* Coronary Perfusion Pressure (CPP): ความดันที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจเอง
* CPP = Aortic Diastolic Pressure - Right Atrial Diastolic Pressure
* การกดที่ลึกเพียงพอทำให้ CPP > 15 mmHg ซึ่งเป็นค่าที่สัมพันธ์กับการฟื้นคืนสภาวะหัวใจเต้นได้เอง (ROSC)
* การกดที่ตื้นเกินไปทำให้ CPP ต่ำกว่าเกณฑ์นี้
2. หลักฐานทางคลินิกจากการศึกษา
2.1 การศึกษาเชิงสังเกต
* Analysis by Stiell et al. (2014): ศึกษาผู้ป่วย 15,873 ราย
* ความลึกเฉลี่ยที่สัมพันธ์กับอัตรารอดชีวิตสูงสุด: 5.0-5.5 ซม.
* อัตรารอดชีวิตลดลง 9% ทุก 0.5 ซม. ที่กดตื้นกว่า 5.0 ซม.
* แต่การกดลึกกว่า 6.0 ซม. เพิ่มความเสี่ยงการบาดเจ็บโดยไม่มีประโยชน์เพิ่ม
2.2 การศึกษาเชิงกลไก
* MRI และ Computer Modeling: แสดงให้เห็นว่าที่ความลึก 5-6 ซม.
* หัวใจถูกบีบอัดประมาณ 30-40%
* เกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาตรช่องอกประมาณ 20-25%
* สร้าง cardiac output ได้ประมาณ 1.0-1.5 L/min (เทียบกับ 4-6 L/min ปกติ)
3. พยาธิสรีรวิทยาของภาวะหัวใจหยุดเต้น
3.1 Ischemic Threshold
* สมอง: ต้องการ cerebral blood flow ~15-20 mL/100g/min เพื่อรักษา viability
* หัวใจ: ต้องการ coronary blood flow ~0.15-0.20 mL/min/g
* การกดหน้าอกที่ตื้นเกินไปไม่สามารถรักษาระดับการไหลเวียนนี้ได้
3.2 No-reflow Phenomenon
* หลังจาก ischemia นานเกิน 15-20 นาที ถึงแม้จะได้ ROSC
* เกิด endothelial damage และ microvascular obstruction
* การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพช่วยลด duration และ severity ของ ischemia
4. ความปลอดภัยและความเสี่ยง
4.1 อัตราการบาดเจ็บ
* กระดูกซี่โครงหัก: พบได้ 30-40% ของผู้ป่วยที่ได้รับ CPR
* Sternal fracture: 10-20%
* Internal organ injury: ต่ำกว่า 5%
4.2 Risk-Benefit Analysis
* โอกาสรอดชีวิตลดลง 9-11% ต่อทุก 0.5 ซม. ที่กดตื้นกว่าเกณฑ์
* ความเสี่ยงการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น เมื่อกดลึกกว่า 6.0 ซม.
* 5-6 ซม. เป็น "sweet spot" ที่สมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความปลอดภัย
5. ปัจจัยที่ทำให้ความลึกเหมาะสมแตกต่างกัน
5.1 Anthropometric Factors
* ขนาดหน้าอก: ผู้ป่วยที่มี thoracic anteroposterior diameter ใหญ่ อาจต้องการความลึกมากขึ้น
* ความยืดหยุ่นของกระดูก: ผู้สูงอายุที่มีกระดูกเปราะบาง
5.2 Real-time Monitoring
* Arterial Line: ในโรงพยาบาล สามารถ monitor blood pressure ได้โดยตรง
* ETCO2 (End-tidal CO2): ค่า > 10-15 mmHg บ่งชี้การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพ
* CPR Feedback Devices: ให้ข้อมูล real-time เกี่ยวกับความลึก ความเร็ว และการคืนตัว
6. การประยุกต์ใช้ทางคลินิก
6.1 High-Performance CPR
* Team-based approach: มีผู้รับผิดชอบเฉพาะเพื่อ monitor คุณภาพ CPR
* Minimizing interruptions: พยายามให้ chest compression fraction >80%
* Real-time feedback: ใช้เทคโนโลยีช่วยประเมิน
6.2 Special Populations
* เด็ก: กดลึก 1/3 ของความลึกหน้าอก (ประมาณ 4-5 ซม. ในเด็กใหญ่)
* ทารก: กดลึก 1/3 ของความลึกหน้าอก (ประมาณ 4 ซม.)
* ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ: ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
สรุปทางการแพทย์
ความลึก 5-6 ซม. ไม่ใช่ตัวเลขที่กำหนดขึ้นอย่างสุ่ม แต่เป็นค่าที่ได้จาก:
1. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาจากประชากรจำนวนมาก
2. กลไกทางชีวฟิสิกส์ ที่อธิบายได้ชัดเจน
3. การวิเคราะห์ risk-benefit ที่เหมาะสม
4. ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ สำหรับผู้ปฏิบัติการส่วนใหญ่
นี่เป็นตัวอย่างของ Evidence-Based Medicine ที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัยทางคลินิกต่อเนื่องมากว่า 50 ปี ตั้งแต่การแนะนำ CPR สมัยใหม่ในทศวรรษ 1960


