ทำไมต้องบีบ ambu ทุก 6 วินาที?
22 ผู้เข้าชม

ทำไมต้องบีบ ambu ทุก 6 วินาที?
คำตอบสั้นๆ: การบีบ Ambu (หรือการช่วยหายใจ) ทุก 6 วินาที ในผู้ป่วยที่ "มีท่อช่วยหายใจแล้ว (Intubated)" เป็นอัตราที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงการช่วยหายใจเกิน ซึ่งส่งผลเสียต่อการไหลเวียนโลหิตและผลลัพธ์การฟื้นคืนชีพโดยรวม
การอธิบายโดยละเอียด:
ในสถานการณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ แต่ปัญหาหลักมักคือ "การไหลเวียนโลหิต" มากกว่า การบีบตัวหน้าอก (Chest Compression) ที่มีคุณภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด
1. เหตุผลหลัก: หลีกเลี่ยงการช่วยหายใจเกิน (Avoiding Over-ventilation)
เมื่อเราช่วยหายใจให้ผู้ป่วยมากเกินไป (ทั้งปริมาณและความถี่) จะส่งผลเสียหลายอย่าง:
· เพิ่มความดันในช่องทรวงอก (Increased Intrathoracic Pressure): ทำให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจน้อยลง
· ลดการไหลเวียนโลหิตไปยังสมองและหัวใจ (Reduced Coronary and Cerebral Perfusion Pressure): ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในช่วง CPR
· ทำให้เกิดภาวะกรด-ด่างในร่างกายผิดปกติ: อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง
2. บริบทของการบีบ Ambu ทุก 6 วินาที
อัตรานี้ ใช้เฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วย "มีท่อช่วยหายใจอยู่ในหลอดลมแล้ว (Advanced Airway in place)" เช่น Endotracheal Tube (ET Tube) หรือ Supraglottic Airway
· ความถี่: ทุก 6 วินาที = 10 ครั้ง/นาที
· ไม่มีการหยุดบีบตัวหน้าอก: เมื่อมีท่อช่วยหายใจแล้ว เราสามารถช่วยหายใจไปพร้อมๆ กับการบีบตัวหน้าอกได้โดยไม่ต้องหยุด ซึ่งแตกต่างจากการช่วยหายใจแบบ Mouth-to-Mouth หรือการใช้ Face Mask ที่ต้องหยุดบีบตัวหน้าอกเพื่อช่วยหายใจ 2 ครั้ง ทุก 30 ครั้ง
3. สรุปโปรโตคอลการช่วยหายใจใน ACLS
· ในผู้ป่วยที่ยังไม่มีท่อช่วยหายใจ:
· ใช้วิธี 30:2 (บีบตัวหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้ง) โดยพยายามไม่หยุดบีบตัวหน้าอกนานเกิน 10 วินาที
· ในผู้ป่วยที่มีท่อช่วยหายใจแล้ว (Intubated):
· บีบตัวหน้าอกอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด
· ช่วยหายใจทุก 6 วินาที (10 ครั้ง/นาที)
· สังเกตว่าหน้าอกพองขึ้นพอประมาณ ไม่เร็วหรือแรงเกินไป
เปรียบเทียบง่ายๆ:
สถานการณ์ อัตราการช่วยหายใจ หมายเหตุ
ยังไม่มีท่อช่วยหายใจ 2 ครั้ง หลังจากบีบตัวหน้าอก 30 ครั้ง (30:2) หยุดบีบตัวหน้าอกชั่วคราวเพื่อช่วยหายใจ
มีท่อช่วยหายใจแล้ว ทุก 6 วินาที (10 ครั้ง/นาที) บีบตัวหน้าอกต่อเนื่องไม่หยุด
ดังนั้น การบีบ Ambu ทุก 6 วินาทีจึงเป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาเพื่อ รักษาการไหลเวียนโลหิตให้ดีที่สุด ในขณะที่ยังให้ออกซิเจนเพียงพอแก่ผู้ป่วย โดยลดผลข้างเคียงจากการช่วยหายใจเกินนั่นเอง
ขอให้เข้าใจว่าข้อมูลนี้เป็นเพื่อการอ้างอิงทางการศึกษาเท่านั้น การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพที่ถูกต้องควรมาจากการฝึกฝนในคอร์ส ACLS ที่ได้มาตรฐาน
ขออธิบายเชิงลึกทางการแพทย์ครับ การกำหนดให้บีบ Ambu ทุก 6 วินาทีในผู้ป่วยที่มีท่อช่วยหายใจแล้วใน ACLS นั้น มีพื้นฐานทางสรีรวิทยาและพยาธิสรีรวิทยาที่ลึกซึ้ง ดังนี้
1. พื้นฐานทางสรีรวิทยาของการหายใจและการไหลเวียนโลหิตระหว่าง CPR
การไหลเวียนโลหิตระหว่าง CPR (Coronary Perfusion Pressure - CPP)
· ระหว่างการบีบตัวหน้าอก ความดันในช่องทรวงอกจะเพิ่มขึ้น ทำให้เลือดถูกบีบออกจากหัวใจไปเลี้ยงสมองและอวัยวะต่างๆ
· ในช่วงการคลายตัว (Relaxation phase) ความดันในช่องทรวงอกจะลดลงต่ำกว่าความดันในระบบ arterial ทำให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจและหลอดเลือดโคโรนารี
· การช่วยหายใจเกินจะเพิ่มความดันในช่องทรวงอก ทำให้ความดันนี้ไม่ลดลงต่ำพอในช่วงคลายตัว ส่งผลให้ Coronary Perfusion Pressure ลดลง ซึ่งเป็นตัวทำนายสำคัญของการฟื้นคืนชีพที่สำเร็จ
Autoregulation ของการไหลเวียนโลหิตไปสมอง
· สมองมีกลไก Autoregulation ที่รักษาการไหลเวียนโลหิตให้คงที่แม้ความดันโลหิตจะเปลี่ยนแปลง
· แต่ในช่วง cardiac arrest กลไกนี้ล้มเหลว การไหลเวียนโลหิตไปสมองจึงขึ้นกับ Cerebral Perfusion Pressure (CPP) โดยตรง
· CPP = Mean Arterial Pressure - Intracranial Pressure
· การช่วยหายใจเกิน โดยเฉพาะหากมีภาวะ hypoxemia หรือ hypercarbia อยู่แล้ว
2. พยาธิสรีรวิทยาของการช่วยหายใจเกิน (Hyperventilation)
ผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต:
1. Increased Intrathoracic Pressure
· ทำให้ Venous return ลดลง Preload ลดลง Cardiac output ลดลง
· เกิดภาวะ "Pseudo-PEA" ที่ดูเหมือนไม่มีชีพจรมี cardiac activity แต่เลือดไหลกลับหัวใจไม่พอ
2. การเปลี่ยนแปลงของก๊าซในเลือด
· เกิดภาวะ Hypocapnia (CO ต่ำเกินไป) จากหายใจเกิน
· Hypocapnia ทำให้ cerebral vasoconstriction cerebral blood flow ลดลง 25% ต่อการลดลงของ PaCO 10 mmHg
· เกิดภาวะ respiratory alkalosis shift oxyhemoglobin curve ไปทางซ้าย การปล่อยออกซิเจนให้เนื้อเยื่อลดลง
ผลต่อการทำงานของหัวใจ:
· การบีบตัวหน้าอกที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้าง cardiac output ได้เพียง 25-30% ของปกติ
· การช่วยหายใจเกินจะลด cardiac output นี้ลงอีก อย่างมีนัยสำคัญ
3. พื้นฐานทางชีวเคมีและเมตาบอลิซึม
การบริโภคออกซิเจนและผลิตคาร์บอนไดออกไซด์:
· ในสภาวะ cardiac arrest อัตราการเผาผลาญลดลงอย่างมาก
· การบริโภคออกซิเจน (VO) ลดลงเหลือ < 50% ของปกติ
· การผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ (VCO) ก็ลดลงตามไปด้วย
· ดังนั้นจึง ไม่จำเป็นต้องช่วยหายใจบ่อยเหมือนคนปกติ
การคำนวณทางสรีรวิทยา:
· ผู้ใหญ่ปกติหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที ด้วย tidal volume 500 mL
· แต่ใน cardiac arrest การหายใจ 10 ครั้ง/นาที (ทุก 6 วินาที) ด้วย tidal volume ปกติให้ minute ventilation 5 L/min ซึ่ง เพียงพอแล้ว เนื่องจาก VCO ลดลง
4. หลักฐานจากการวิจัยทางคลินิก
การศึกษาที่สำคัญ:
1. การศึกษาของ Aufderheide และคณะ (2004)
· พบว่า emergency personnel ช่วยหายใจด้วยความถี่ 30 ครั้ง/นาที (สูงเกินไป)
· ส่งผลให้ mean intrathoracic pressure สูงขึ้น และ ROSC ลดลง
2. AHA Guidelines 2010-2020
· เปลี่ยนจากแนะนำช่วยหายใจ 8-10 ครั้ง/นาที มาเป็น 10 ครั้ง/นาที (ทุก 6 วินาที) อย่างชัดเจน
· เน้นย้ำเรื่อง "minimize interruptions in chest compressions"
5. การพิจารณาด้านเภสัชวิทยา
ยาที่ใช้ใน ACLS บางชนิดมีครึ่งชีวิตสั้นและออกฤทธิ์บน cardiac output เช่น Epinephrine การช่วยหายใจเกินที่ลด cardiac output จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาด้วย
6. การประยุกต์ใช้ทางคลินิกขั้นสูง
การใช้ Waveform Capnography:
· EtCO ระหว่าง CPR ไม่เพียงบอกถึงประสิทธิภาพของการบีบตัวหน้าอก แต่ยังใช้ปรับการช่วยหายใจได้
· EtCO ที่ < 10 mmHg บ่งชี้ว่าปรับปรุงคุณภาพ CPR
· การช่วยหายใจเกินจะทำให้เห็น waveform ที่มี amplitude ต่ำและอาจมีรูปแบบผิดปกติ
Special Situations:
· ในภาวะ Tension Pneumothorax หรือ Asthma/COPD การช่วยหายใจเกินจะมีผลเสียรุนแรงกว่า
· ในภาวะ Hypoxic Cardiac Arrest (เช่น drowning) อาจเพิ่มความถี่ในการช่วยหายใจชั่วคราว
สรุปทางการแพทย์เชิงลึก:
การบีบ Ambu ทุก 6 วินาทีไม่ใช่แค่ตัวเลขกำหนด arbitrarily แต่เป็นค่าที่คำนวณมาจาก:
1. สรีรวิทยาของการไหลเวียนโลหิต ที่ต้องไม่ถูกขัดขวาง
2. อัตราการเผาผลาญที่ลดลง ในสภาวะ cardiac arrest
3. หลักฐานทางคลินิก ที่แสดงผลเสียของการช่วยหายใจเกิน
4. การรักษา Coronary และ Cerebral Perfusion Pressure ให้สูงพอ
นี่คือตัวอย่างของ "Less is more" ในทางการแพทย์ ที่การรักษาแบบง่ายๆ แต่ตรงตามสรีรวิทยาจะได้ผลดีกว่าการทำมากแต่ผิดหลักวิทยาศาสตร์ครับ
คำตอบสั้นๆ: การบีบ Ambu (หรือการช่วยหายใจ) ทุก 6 วินาที ในผู้ป่วยที่ "มีท่อช่วยหายใจแล้ว (Intubated)" เป็นอัตราที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงการช่วยหายใจเกิน ซึ่งส่งผลเสียต่อการไหลเวียนโลหิตและผลลัพธ์การฟื้นคืนชีพโดยรวม
การอธิบายโดยละเอียด:
ในสถานการณ์ช่วยฟื้นคืนชีพ ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ แต่ปัญหาหลักมักคือ "การไหลเวียนโลหิต" มากกว่า การบีบตัวหน้าอก (Chest Compression) ที่มีคุณภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด
1. เหตุผลหลัก: หลีกเลี่ยงการช่วยหายใจเกิน (Avoiding Over-ventilation)
เมื่อเราช่วยหายใจให้ผู้ป่วยมากเกินไป (ทั้งปริมาณและความถี่) จะส่งผลเสียหลายอย่าง:
· เพิ่มความดันในช่องทรวงอก (Increased Intrathoracic Pressure): ทำให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจน้อยลง
· ลดการไหลเวียนโลหิตไปยังสมองและหัวใจ (Reduced Coronary and Cerebral Perfusion Pressure): ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในช่วง CPR
· ทำให้เกิดภาวะกรด-ด่างในร่างกายผิดปกติ: อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง
2. บริบทของการบีบ Ambu ทุก 6 วินาที
อัตรานี้ ใช้เฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วย "มีท่อช่วยหายใจอยู่ในหลอดลมแล้ว (Advanced Airway in place)" เช่น Endotracheal Tube (ET Tube) หรือ Supraglottic Airway
· ความถี่: ทุก 6 วินาที = 10 ครั้ง/นาที
· ไม่มีการหยุดบีบตัวหน้าอก: เมื่อมีท่อช่วยหายใจแล้ว เราสามารถช่วยหายใจไปพร้อมๆ กับการบีบตัวหน้าอกได้โดยไม่ต้องหยุด ซึ่งแตกต่างจากการช่วยหายใจแบบ Mouth-to-Mouth หรือการใช้ Face Mask ที่ต้องหยุดบีบตัวหน้าอกเพื่อช่วยหายใจ 2 ครั้ง ทุก 30 ครั้ง
3. สรุปโปรโตคอลการช่วยหายใจใน ACLS
· ในผู้ป่วยที่ยังไม่มีท่อช่วยหายใจ:
· ใช้วิธี 30:2 (บีบตัวหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้ง) โดยพยายามไม่หยุดบีบตัวหน้าอกนานเกิน 10 วินาที
· ในผู้ป่วยที่มีท่อช่วยหายใจแล้ว (Intubated):
· บีบตัวหน้าอกอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด
· ช่วยหายใจทุก 6 วินาที (10 ครั้ง/นาที)
· สังเกตว่าหน้าอกพองขึ้นพอประมาณ ไม่เร็วหรือแรงเกินไป
เปรียบเทียบง่ายๆ:
สถานการณ์ อัตราการช่วยหายใจ หมายเหตุ
ยังไม่มีท่อช่วยหายใจ 2 ครั้ง หลังจากบีบตัวหน้าอก 30 ครั้ง (30:2) หยุดบีบตัวหน้าอกชั่วคราวเพื่อช่วยหายใจ
มีท่อช่วยหายใจแล้ว ทุก 6 วินาที (10 ครั้ง/นาที) บีบตัวหน้าอกต่อเนื่องไม่หยุด
ดังนั้น การบีบ Ambu ทุก 6 วินาทีจึงเป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาเพื่อ รักษาการไหลเวียนโลหิตให้ดีที่สุด ในขณะที่ยังให้ออกซิเจนเพียงพอแก่ผู้ป่วย โดยลดผลข้างเคียงจากการช่วยหายใจเกินนั่นเอง
ขอให้เข้าใจว่าข้อมูลนี้เป็นเพื่อการอ้างอิงทางการศึกษาเท่านั้น การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพที่ถูกต้องควรมาจากการฝึกฝนในคอร์ส ACLS ที่ได้มาตรฐาน
ขออธิบายเชิงลึกทางการแพทย์ครับ การกำหนดให้บีบ Ambu ทุก 6 วินาทีในผู้ป่วยที่มีท่อช่วยหายใจแล้วใน ACLS นั้น มีพื้นฐานทางสรีรวิทยาและพยาธิสรีรวิทยาที่ลึกซึ้ง ดังนี้
1. พื้นฐานทางสรีรวิทยาของการหายใจและการไหลเวียนโลหิตระหว่าง CPR
การไหลเวียนโลหิตระหว่าง CPR (Coronary Perfusion Pressure - CPP)
· ระหว่างการบีบตัวหน้าอก ความดันในช่องทรวงอกจะเพิ่มขึ้น ทำให้เลือดถูกบีบออกจากหัวใจไปเลี้ยงสมองและอวัยวะต่างๆ
· ในช่วงการคลายตัว (Relaxation phase) ความดันในช่องทรวงอกจะลดลงต่ำกว่าความดันในระบบ arterial ทำให้เลือดไหลกลับเข้าหัวใจและหลอดเลือดโคโรนารี
· การช่วยหายใจเกินจะเพิ่มความดันในช่องทรวงอก ทำให้ความดันนี้ไม่ลดลงต่ำพอในช่วงคลายตัว ส่งผลให้ Coronary Perfusion Pressure ลดลง ซึ่งเป็นตัวทำนายสำคัญของการฟื้นคืนชีพที่สำเร็จ
Autoregulation ของการไหลเวียนโลหิตไปสมอง
· สมองมีกลไก Autoregulation ที่รักษาการไหลเวียนโลหิตให้คงที่แม้ความดันโลหิตจะเปลี่ยนแปลง
· แต่ในช่วง cardiac arrest กลไกนี้ล้มเหลว การไหลเวียนโลหิตไปสมองจึงขึ้นกับ Cerebral Perfusion Pressure (CPP) โดยตรง
· CPP = Mean Arterial Pressure - Intracranial Pressure
· การช่วยหายใจเกิน โดยเฉพาะหากมีภาวะ hypoxemia หรือ hypercarbia อยู่แล้ว
2. พยาธิสรีรวิทยาของการช่วยหายใจเกิน (Hyperventilation)
ผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต:
1. Increased Intrathoracic Pressure
· ทำให้ Venous return ลดลง Preload ลดลง Cardiac output ลดลง
· เกิดภาวะ "Pseudo-PEA" ที่ดูเหมือนไม่มีชีพจรมี cardiac activity แต่เลือดไหลกลับหัวใจไม่พอ
2. การเปลี่ยนแปลงของก๊าซในเลือด
· เกิดภาวะ Hypocapnia (CO ต่ำเกินไป) จากหายใจเกิน
· Hypocapnia ทำให้ cerebral vasoconstriction cerebral blood flow ลดลง 25% ต่อการลดลงของ PaCO 10 mmHg
· เกิดภาวะ respiratory alkalosis shift oxyhemoglobin curve ไปทางซ้าย การปล่อยออกซิเจนให้เนื้อเยื่อลดลง
ผลต่อการทำงานของหัวใจ:
· การบีบตัวหน้าอกที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้าง cardiac output ได้เพียง 25-30% ของปกติ
· การช่วยหายใจเกินจะลด cardiac output นี้ลงอีก อย่างมีนัยสำคัญ
3. พื้นฐานทางชีวเคมีและเมตาบอลิซึม
การบริโภคออกซิเจนและผลิตคาร์บอนไดออกไซด์:
· ในสภาวะ cardiac arrest อัตราการเผาผลาญลดลงอย่างมาก
· การบริโภคออกซิเจน (VO) ลดลงเหลือ < 50% ของปกติ
· การผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ (VCO) ก็ลดลงตามไปด้วย
· ดังนั้นจึง ไม่จำเป็นต้องช่วยหายใจบ่อยเหมือนคนปกติ
การคำนวณทางสรีรวิทยา:
· ผู้ใหญ่ปกติหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที ด้วย tidal volume 500 mL
· แต่ใน cardiac arrest การหายใจ 10 ครั้ง/นาที (ทุก 6 วินาที) ด้วย tidal volume ปกติให้ minute ventilation 5 L/min ซึ่ง เพียงพอแล้ว เนื่องจาก VCO ลดลง
4. หลักฐานจากการวิจัยทางคลินิก
การศึกษาที่สำคัญ:
1. การศึกษาของ Aufderheide และคณะ (2004)
· พบว่า emergency personnel ช่วยหายใจด้วยความถี่ 30 ครั้ง/นาที (สูงเกินไป)
· ส่งผลให้ mean intrathoracic pressure สูงขึ้น และ ROSC ลดลง
2. AHA Guidelines 2010-2020
· เปลี่ยนจากแนะนำช่วยหายใจ 8-10 ครั้ง/นาที มาเป็น 10 ครั้ง/นาที (ทุก 6 วินาที) อย่างชัดเจน
· เน้นย้ำเรื่อง "minimize interruptions in chest compressions"
5. การพิจารณาด้านเภสัชวิทยา
ยาที่ใช้ใน ACLS บางชนิดมีครึ่งชีวิตสั้นและออกฤทธิ์บน cardiac output เช่น Epinephrine การช่วยหายใจเกินที่ลด cardiac output จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาด้วย
6. การประยุกต์ใช้ทางคลินิกขั้นสูง
การใช้ Waveform Capnography:
· EtCO ระหว่าง CPR ไม่เพียงบอกถึงประสิทธิภาพของการบีบตัวหน้าอก แต่ยังใช้ปรับการช่วยหายใจได้
· EtCO ที่ < 10 mmHg บ่งชี้ว่าปรับปรุงคุณภาพ CPR
· การช่วยหายใจเกินจะทำให้เห็น waveform ที่มี amplitude ต่ำและอาจมีรูปแบบผิดปกติ
Special Situations:
· ในภาวะ Tension Pneumothorax หรือ Asthma/COPD การช่วยหายใจเกินจะมีผลเสียรุนแรงกว่า
· ในภาวะ Hypoxic Cardiac Arrest (เช่น drowning) อาจเพิ่มความถี่ในการช่วยหายใจชั่วคราว
สรุปทางการแพทย์เชิงลึก:
การบีบ Ambu ทุก 6 วินาทีไม่ใช่แค่ตัวเลขกำหนด arbitrarily แต่เป็นค่าที่คำนวณมาจาก:
1. สรีรวิทยาของการไหลเวียนโลหิต ที่ต้องไม่ถูกขัดขวาง
2. อัตราการเผาผลาญที่ลดลง ในสภาวะ cardiac arrest
3. หลักฐานทางคลินิก ที่แสดงผลเสียของการช่วยหายใจเกิน
4. การรักษา Coronary และ Cerebral Perfusion Pressure ให้สูงพอ
นี่คือตัวอย่างของ "Less is more" ในทางการแพทย์ ที่การรักษาแบบง่ายๆ แต่ตรงตามสรีรวิทยาจะได้ผลดีกว่าการทำมากแต่ผิดหลักวิทยาศาสตร์ครับ


