แชร์

Respiratory arrest ต้องบีบ ambu เท่าไร?

40 ผู้เข้าชม
Respiratory arrest ต้องบีบ ambu เท่าไร?
คำถาม "respiratory arrest ต้องบีบ ambu เท่าไร" เป็นคำถามที่สำคัญมากในการช่วยชีวิต
คำตอบโดยสรุป: อัตราการบีบ Ambu (การช่วยหายใจ) ในผู้ป่วย respiratory arrest (หยุดหายใจ) คือ
· ผู้ใหญ่: ประมาณ 10 - 12 ครั้ง/นาที (ทุก 5 - 6 วินาทีต่อครั้ง)
· เด็กและทารก: ประมาณ 12 - 20 ครั้ง/นาที (ทุก 3 - 5 วินาทีต่อครั้ง)
แต่การจะตอบให้ครบถ้วน ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งสามารถสรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้
ขั้นตอนและการคำนวณการบีบ Ambu ที่ถูกต้อง
1. ประเมินสถานการณ์ก่อนเสมอ
· ตรวจสอบการรู้สึกตัว: สะกิดเรียก ผู้ป่วยตอบสนองหรือไม่
· ตรวจสอบการหายใจ: ดู ฟัง  เป็นเวลา 5 - 10 วินาที
· หากไม่หายใจหรือหายใจเฮือกสุดท้าย (agonal gasp) ให้ respiratory arrest และต้องช่วยหายใจทันที
2. จัดท่าผู้ป่วยและเปิดทางเดินหายใจ
· จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายบนพื้นแข็ง
· ใช้วิธี ดั้งคางขึ้น-กดหน้าผาก (Head Tilt-Chin Lift) เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง (ยกเว้นสงสัยกระดูกคอหัก)
3. เทคนิคการบีบ Ambu ที่ถูกต้อง
· ใช้หน้ากากครอบให้มิดจมูกและปาก โดยให้ด้านกว้างอยู่บนสันจมูก ด้านแคบอยู่ที่คาง
· ใช้มือหนึ่งประคองหน้ากากและดั้งคางขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งรูปตัว C กดหน้ากากให้แนบสนิทกับหน้า เพื่อป้องกันลมรั่ว
· ใช้อีกมือบีบถุง บีบลมเข้าปอดผู้ป่วยอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ ใช้เวลาในการบีบประมาณ 1 วินาที ต่อครั้ง
· สังเกตหน้าอกผู้ป่วย ระหว่างบีบว่ายกขึ้นหรือไม่
· หน้าอกต้องยกขึ้นทุกครั้ง แสดงว่าลมเข้าปอดได้ดี
· หากหน้าอกไม่ยก อาจเกิดจากลมรั่วทางหน้ากาก, ทางเดินหายใจไม่โล่ง (มีสิ่งอุดกั้น, ลิ้นตก) หรือบีบแรงไม่พอ
4. อัตราการบีบ (Rate) และการประสานงานกับการกดหน้าอก (Compression)
นี่คือส่วนสำคัญที่สุดที่ต้องแยกให้ออก:
· กรณีผู้ป่วยมีชีพจร แต่หยุดหายใจ (Respiratory Arrest อย่างเดียว):
· ให้ช่วยหายใจอย่างเดียว
· อัตราการบีบ: 10 - 12 ครั้ง/นาที (ทุก 5 - 6 วินาทีต่อครั้ง) สำหรับผู้ใหญ่
· กรณีผู้ป่วยหยุดหายใจและไม่มีชีพจร (Cardiac Arrest):
· ต้องทำ CPR (กดหน้าอก + ช่วยหายใจ)
· อัตราส่วนคือ 30:2 (กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้ง) สำหรับผู้ใหญ่
· เมื่อมีผู้ช่วยเหลือ 2 คนและใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Tube) แล้ว การช่วยหายใจจะทำแยกจากการกดหน้าอก โดยให้บีบ Ambu 10 ครั้ง/นาที โดยไม่ต้องหยุดกดหน้าอก
ตารางสรุปอัตราการบีบ Ambu
กรณีผู้ป่วย อัตราการบีบ (ครั้ง/นาที) หมายเหตุ
ผู้ใหญ่ Respiratory Arrest (มีชีพจร) 10 - 12 ครั้ง/นาที บีบทุก 5 - 6 วินาที
ผู้ใหญ่ Cardiac Arrest (ทำ CPR) 10 ครั้ง/นาที (หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว) หรือ 2 ครั้ง ทุก 30 ครั้งที่กดหน้าอก (อัตรา 30:2)
เด็ก/ทารก 12 - 20 ครั้ง/นาที บีบทุก 3 - 5 วินาที
สิ่งที่ต้องระวัง
· อย่าบีบแรงหรือเร็วเกินไป: จะทำให้ความดันในปอดสูง และอาจทำให้ผู้ป่วยสำลักหรืออาเจียนได้
· ปริมาณลม: บีบแค่พอให้หน้าอกยกขึ้น即可 ไม่จำเป็นต้องบีบถุงให้หมดทุกครั้ง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กและทารก
· ลมรั่ว: เป็นปัญหาที่พบบ่อย ต้องฝึกฝนการประคองหน้ากากให้แนบสนิท
· เรียกความช่วยเหลือทันที: ขณะที่ช่วยเหลืออยู่ ต้องให้คนรอบข้างโทรเรียก 1669 (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) ทันที
สรุปสุดท้าย: สำหรับผู้ใหญ่ที่หยุดหายใจแต่ยังมีชีพจร ให้บีบ Ambu 10 - 12 ครั้งต่อนาที (ทุก 5 - 6 วินาทีต่อครั้ง) โดยบีบอย่างนุ่มนวลเป็นเวลา 1 วินาที และสังเกตการยกตัวของหน้าอกผู้ป่วยเป็นหลัก
ข้อมูลนี้เป็นแนวทางพื้นฐาน การช่วยชีวิตที่ได้ผลดีที่สุดต้องมาจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
1. เป้าหมายหลัก: การรักษาการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas Exchange) ที่เหมาะสม
การช่วยหายใจไม่ใช่แค่ "เป่าลมเข้าไป" แต่เป็นการพยายามจำลองและแทนที่กระบวนการหายใจตามธรรมชาติ ซึ่งมีเป้าหมายหลัก 2 อย่าง:
· การเติมออกซิเจน (Oxygenation): การทำให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงอิ่มตัวด้วยออกซิเจน
· การกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ (Ventilation): การขับ CO2 ซึ่งเป็นของเสียจากการเผาผลาญออกจากร่างกาย
สมการของการหายใจ (Ventilation)
Minute Ventilation (VE) = Tidal Volume (VT) x Respiratory Rate (RR)
· Minute Ventilation (VE): ปริมาตรลมทั้งหมดที่เข้าออกปอดใน 1 นาที
· Tidal Volume (VT): ปริมาตรลมในหนึ่งครั้งที่หายใจเข้า
· Respiratory Rate (RR): จำนวนครั้งที่หายใจในหนึ่งนาที
อัตรา 10-12 ครั้ง/นาที ในผู้ใหญ่ ถูกคำนวณมาเพื่อให้ได้ Minute Ventilation ที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีกิจกรรมทางกาย (อยู่เฉยๆ)
2. เหตุผลเชิงลึกว่าทำไมต้อง "บีบช้าๆ และทุก 5-6 วินาที"
ก. การป้องกันการหายใจเกิน (Hyperventilation) จากการช่วยเหลือ
นี่คือหัวใจสำคัญของการตั้งอัตราไว้ต่ำ
· การลดลงของ venous return และ cardiac output: เมื่อเราบีบ Ambu ความดันบวกในช่องอกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไปกดการไหลเวียนเลือดกลับสู่หัวใจ (venous return) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ไม่มีผู้บีบช่วยหายใจ (เมื่อเปรียบเทียบกับการหายใจตามธรรมชาติที่ความดันในช่องอกเป็นลบ) หากบีบเร็วและแรงเกินไป (High rate, High pressure) จะทำให้ความดันในช่องอกสูงตลอดเวลา ส่งผลให้เลือดกลับสู่หัวใจน้อยลง ** cardiac output และความดันเลือดต่ำลง** แม้จะมีออกซิเจนเพียงพอในปอด แต่เลือดก็ไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้ดี
· การเพิ่มความดันในปอด (Barotrauma/Volutrauma): การบีบลมเข้าไปเร็วและแรงเกินไปมีความเสี่ยงที่จะทำให้ถุงลมปอดยืดเกิน (overstretch) และแตกได้ นำไปสู่ภาวะ Barotrauma เช่น ปอดแฟบ (Pneumothorax)
ข. สมดุลระหว่างออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
· ออกซิเจน: การเติมออกซิเจนขึ้นกับ Fraction of Inspired Oxygen (FiO2) และ เวลาในการแลกเปลี่ยนก๊าซ (เวลาในการที่ลมคงอยู่ในถุงลมปอดเพื่อให้ออกซิเจนแพร่เข้าเลือด) การบีบช้าๆ และค้างไว้ประมาณ 1 วินาที ทำให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการแพร่ของก๊าซ (Gas Diffusion)
· คาร์บอนไดออกไซด์: ในผู้ป่วย cardiac arrest การเผาผลาญของร่างกายลดลงต่ำมาก ทำให้การผลิต CO2 ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องช่วยหายใจเร็วเหมือนคนปกติ การช่วยหายใจเกินความจำเป็น (Hyperventilation) จะทำให้ CO2 ในเลือดต่ำเกินไป (Hypocapnia) ซึ่งทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดสมอง (Cerebral Vasoconstriction) ลดการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งในภาวะที่สมองขาดออกซิเจนอยู่แล้ว
3. เหตุผลเชิงลึกของความแตกต่างระหว่าง Respiratory Arrest กับ Cardiac Arrest
กรณี Respiratory Arrest (มีชีพจร)
· สถานการณ์: หัวใจยังบีบตัวได้ดี เลือดยังไหลเวียนอยู่
· เป้าหมาย: มุ่งเน้นที่การรักษาระดับก๊าซในเลือดให้ใกล้เคียงปกติที่สุด
· อัตราการบีบ: 10-12 ครั้ง/นาที เป็นอัตราที่เพียงพอสำหรับการรักษาทั้ง Oxygenation และ Ventilation ในผู้ป่วยที่ cardiac output ยังดีอยู่ โดยไม่รบกวน venous return มากเกินไป
กรณี Cardiac Arrest (ไม่มีชีพจร)
· สถานการณ์: ไม่มีการไหลเวียนเลือดจากหัวใจเอง การช่วยชีวิตอาศัยการกดหน้าอกเพื่อสร้าง artificial cardiac output
· เป้าหมายหลัก: การกดหน้าอกที่มีคุณภาพและไม่ขาดตอน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเลือดต้องถูกบีบให้ไหลเวียนก่อน จึงจะมีการนำออกซิเจนไปใช้ได้
· อัตราการช่วยหายใจ:
· ในช่วง CPR (ก่อนใส่ท่อ): อัตราส่วน 30:2 ถูกออกแบบมาเพื่อลดการหยุดกดหน้าอก (Minimize Interruption) เพราะทุกครั้งที่หยุดกดหน้าอก ความดันเลือดที่สร้างขึ้นจะตกลงสู่ศูนย์ทันที
· หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจ (Advanced Airway) แล้ว: การช่วยหายใจสามารถทำแยกได้โดยไม่ต้องหยุดกดหน้าอก อัตรา 10 ครั้ง/นาที ถูกตั้งไว้ด้วยเหตุผลเดียวกันคือป้องกันไม่ให้ช่วยหายใจบ่อยเกินไป ซึ่งจะรบกวนการไหลเวียนเลือดที่เกิดจากการกดหน้าอก
4. สรุปเหตุผลเชิงสรีรวิทยา
การตั้งอัตราการบีบ Ambu ที่ 10-12 ครั้ง/นาที สำหรับผู้ป่วย Respiratory Arrest นั้น มาจากการคำนึงถึงสมดุลของปัจจัยทางสรีรวิทยาที่ซับซ้อนต่อไปนี้:
1. Minute Ventilation ที่เพียงพอ: เพื่อขจัด CO2 และเติมออกซิเจน
2. การลดการรบกวน Hemodynamics: ป้องกันไม่ให้ความดันในช่องอกสูงต่อเนื่อง ซึ่งจะกดการไหลเวียนเลือดกลับสู่หัวใจ
3. การป้องกัน Barotrauma: จากการใช้แรงดันและปริมาตรลมที่สูงเกินไป
4. การให้เวลาเพียงพอสำหรับ Gas Diffusion: การบีบอย่างนุ่มนวลเป็นเวลา 1 วินาที ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ alveoli ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การช่วยหายใจที่ดูเหมือนง่ายนี้ จึงอิงอยู่บนหลักการทางสรีรวิทยาที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย นั่นคือ การส่งมอบออกซิเจนไปยังเซลล์สมองและหัวใจได้จริง ไม่ใช่แค่การทำให้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเท่านั้น
Tags :

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy