ทำไม chest thrust สำหรับสำลักในเด็ก ต้องครั้งละ 1 วินาที?
64 ผู้เข้าชม

ทำไม chest thrust สำหรับสำลักในเด็ก ต้องครั้งละ 1 วินาที?
คำถามนี้สำคัญมากเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
การทำ Chest thrust (การกดทรวงอก) สำหรับเด็กที่สำลักรุนแรง (ไม่สามารถหายใจได้ พูดไม่ได้ หรือเริ่มหมดสติ) ต้องทำครั้งละประมาณ 1 วินาที และทำซ้ำจนกว่าสิ่งกีดขวางจะหลุดออกมา เหตุผลหลักมีดังนี้:
1. เพื่อเลียนแบบกลไกการหายใจตามธรรมชาติ
การหายใจปกติของเราใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาทีในการหายใจออก การทำ Chest thrust ที่มีจังหวะคล้ายกันจะช่วยสร้างแรงดันในปอดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อดันเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาเหมือนกับการไอ แต่แรงกว่ามาก
2. เพื่อให้มีเวลาสำหรับการคลายตัวของปอด
ระหว่างแต่ละครั้งที่กดทรวงอก แรงดันในช่องอกจะลดลงอย่างรวดเร็ว (เหมือนกับการหายใจเข้า) ช่วงเวลานี้สำคัญมากเพราะ:
· สร้างกระแสลมย้อนกลับ (Backflow) ช่วยดึงสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกมาจากหลอดลม
· ป้องกันไม่ให้สิ่งกีดขวางถูกดันลงไปลึกยิ่งขึ้น หากทำเร็วและแรงเกินไปโดยไม่มีจังหวะพัก
3. เพื่อให้แรงกดมีประสิทธิภาพสูงสุด
จุดมุ่งหมายของ Chest thrust ไม่ใช่การ "บีบหัวใจ" เหมือนกับการ CPR แต่เป็นการ "สร้างแรงดันลม" ขึ้นมาในปอดอย่างฉับพลัน
· การกดที่เร็วและรวดเร็วใน 1 วินาที จะสร้างแรงดันได้ดี
· การกดที่ช้าเกินไป แรงดันจะรั่วไหลออกมา ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ
4. ความปลอดภัยของเด็ก
การทำช้าเกินไปอาจทำให้ช่วยไม่ทันการ (สมองขาดออกซิเจน) แต่การทำเร็วและแรงเกินไปโดยขาดจังหวะพักอาจทำให้:
· กระดูกซี่โครงหัก
· อวัยวะภายในบาดเจ็บ
สรุปเทคนิคที่ถูกต้องสำหรับ Chest thrust ในเด็ก (ตอนที่เด็กยังมีสติ)
1. ท่าทาง: จับเด็กนอนหงายบนพื้นแข็ง หรือนอนบนแขนของคุณโดยให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
2. ตำแหน่งมือ: ใช้สันมือข้างหนึ่งวางตรงกลางกระดูกหน้าอก บนกระดูกสันอก (ต่ำกว่าข้อต่อกระดูกหน้าอกประมาณ 1 นิ้วมือ)
3. วิธีการกด: กดทรวงอกให้ ยุบลงประมาณ 1/3 ของความลึกหน้าอก ในระยะเวลาประมาณ 1 วินาที ต่อครั้ง
4. จังหวะ: ทำทีละครั้ง ชัดเจน และมั่นคง "กด - ปล่อย - กด - ปล่อย" โดยให้มีการปล่อยมือ (เต็มที่) เพื่อให้หน้าอกกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติระหว่างแต่ละครั้ง
ข้อสำคัญ: สลับระหว่าง Chest thrust กับการตรวจดูในปาก (ถ้ามองเห็นสิ่งกีดขวางและสามารถงัดออกได้ safely) และหากเด็กหมดสติ ให้เริ่มทำ CPR ทันที
หมายเหตุ: คำแนะนำนี้เป็นไปตามมาตรฐานของสภากาชาดไทย และสภาวิชาชีพทางการแพทย์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องควรมาจากการฝึกปฏิบัติจริงในคอร์สฝึกอบรมอย่างถูกต้อง
การกำหนดให้ทำ Chest thrust (การกดทรวงอก) สำหรับการช่วยชีวิตเด็กที่สำลัก โดยทำครั้งละประมาณ 1 วินาที นั้น มีหลักการทางการแพทย์และสรีรวิทยาที่ลึกซึ้ง ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. จลนศาสตร์ของแรงดันในช่องอก (Intrathoracic Pressure Dynamics)
· เป้าหมายหลัก: เป้าหมายของ Chest thrust ไม่ใช่การบีบหัวใจให้เลือดไหลเวียน (เช่นในการทำ CPR) แต่是为了 สร้างแรงดันภายในช่องอกและปอดให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อทำหน้าที่เป็น "เครื่องเป่าลมเชิงกล" (Mechanical Insufflator)
· ฟิสิกส์ของการไอ: โดยธรรมชาติ เมื่อเรามีสิ่งกีดขวางในทางเดินหายใจ สมองจะสั่งให้เกิด反射การไอ (Cough Reflex) ซึ่งประกอบด้วย 3 ระยะ:
1. หายใจเข้าเข้มข้น
2. กลั้นเสียง (ปิด glottis) ชั่วครู่
3. หายใจออกแรงดันสูงอย่างรวดเร็ว โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อหายใจออก
· Chest thrust คือการจำลองการหายใจออกแรงดันสูงนี้: การกดทรวงอกลงอย่างรวดเร็วในเวลา 1 วินาที จะลดปริมาตรช่องอกลงกะทันหัน ทำให้ความดันในปอดและทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้นทันที (ตามกฏของ Boyle's Law: ความดันแปรผกผันกับปริมาตร) แรงดันสูงสุด (Peak Pressure) นี้เองที่จะผลักดันสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกมา
2. จลนศาสตร์ของสิ่งกีดขวาง (Foreign Body Kinematics)
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมีจังหวะ "กด-ปล่อย" ที่ชัดเจน
· ระหว่างการ "กด" (Thrust): แรงดันสูงในทางเดินหายใจจะผลักสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ขึ้นสู่ด้านบน (ในทิศทางออกจากปอด)
· ระหว่างการ "ปล่อย" (Release): เมื่อเราปล่อยมือ ทรวงอกจะขยายตัวกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาตรในช่องอกและทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น และเกิดแรงดันลบ (Negative Pressure) ชั่วขณะ ซึ่งเป็นแรงเดียวกับที่เราใช้หายใจเข้าเข้า
· แรงดันลบนี้จะสร้าง "กระแสลมย้อนกลับ" (Backflow หรือ Reverse Flow) ซึ่งจะช่วย ดึงสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ก่อนที่แรงดันบวกจาก Chest thrust ครั้งต่อไปจะมาผลักมันต่อ
หากทำ Chest thrust เร็วเกินไปและติดกันเป็นระนาบ (เช่น 2-3 ครั้งใน 1 วินาที) จะไม่มีช่วงเวลาสำหรับการสร้างแรงดันลบนี้ สิ่งกีดขวางอาจถูกผลักให้เคลื่อนที่เพียงครั้งเดียวและอาจหยุดอยู่กับที่ หรือในกรณีที่แย่ที่สุด อาจถูกดันให้เข้าไปลึกยิ่งขึ้นเนื่องจากขาดจังหวะการ "ดึงกลับ" นี้
3. ประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนก๊าซระดับเซลล์
แม้ในสถานการณ์สำลักรุนแรง ที่มีสิ่งกีดขวางสมบูรณ์ จะไม่มีอากาศเข้า-ออกปอด แต่การทำ Chest thrust ที่มีจังหวะพักช่วยในแง่สรีรวิทยา:
· การไหลเวียนโลหิต: การกดทรวงอกแม้จะไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หัวใจโดยตรง แต่ก็มีผลทำให้เลือดในช่องอกและปอดถูกบีบให้ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญได้บ้างเล็กน้อย
· การพัก (Recovery Phase): จังหวะ 1 วินาที ต่อครั้ง ทำให้ผู้ช่วยเหลือมีสมาธิและสามารถประเมินสถานการณ์ได้ระหว่างทำ (เช่น เด็กเริ่มส่งเสียงได้หรือไม่, สิ่งกีดขวางหลุดออกมาหรือยัง) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป (เช่น เปลี่ยนเป็น CPR หากเด็กหมดสติ)
4. การลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
กระดูกซี่โครงของเด็ก โดยเฉพาะทารก มีความยืดหยุ่นแต่ก็เปราะบาง การกดที่เร็วและใช้แรงเกินไปโดยขาดจังหวะพัก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ:
· กระดูกซี่โครงหัก
· ปอดทะลุ (Pneumothorax)
· การบาดเจ็บของตับและม้าม
การกดด้วยจังหวะ 1 วินาที ที่ควบคุมได้ ช่วยให้ผู้ช่วยเหลือสามารถกดด้วยแรงที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่เกินจำเป็น และมีเวลาปรับเปลี่ยนท่าทางหากรู้สึกว่าการกดไม่ถูกต้อง
สรุปเชิงลึกทางการแพทย์
การทำ Chest thrust ครั้งละ 1 วินาที ไม่ใช่แค่การนับเลข แต่เป็น การออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของ "การสร้างและคลายแรงดัน" ในช่องอก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกจากทางเดินหายใจอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
· 1 วินาทีของการ "กด": เพื่อสร้าง แรงดันบวก(Positive Peak Pressure) สูงสุด เพื่อผลักสิ่งกีดขวาง
· 1 วินาทีของการ "ปล่อย": เพื่อเปิดโอกาสให้เกิด แรงดันลบ (Negative Pressure) ซึ่งสร้างกระแสลมย้อนกลับเพื่อดึงสิ่งกีดขวาง และทำให้มีออกซิเจนในเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้บ้าง
จังหวะนี้จึงเป็นการ баланระหว่าง ประสิทธิภาพ (Efficacy) ในการกำจัดสิ่งกีดขวาง และ ความปลอดภัย (Safety) ของผู้ป่วยและผู้ให้ความช่วยเหลือ
คำถามนี้สำคัญมากเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
การทำ Chest thrust (การกดทรวงอก) สำหรับเด็กที่สำลักรุนแรง (ไม่สามารถหายใจได้ พูดไม่ได้ หรือเริ่มหมดสติ) ต้องทำครั้งละประมาณ 1 วินาที และทำซ้ำจนกว่าสิ่งกีดขวางจะหลุดออกมา เหตุผลหลักมีดังนี้:
1. เพื่อเลียนแบบกลไกการหายใจตามธรรมชาติ
การหายใจปกติของเราใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาทีในการหายใจออก การทำ Chest thrust ที่มีจังหวะคล้ายกันจะช่วยสร้างแรงดันในปอดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อดันเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาเหมือนกับการไอ แต่แรงกว่ามาก
2. เพื่อให้มีเวลาสำหรับการคลายตัวของปอด
ระหว่างแต่ละครั้งที่กดทรวงอก แรงดันในช่องอกจะลดลงอย่างรวดเร็ว (เหมือนกับการหายใจเข้า) ช่วงเวลานี้สำคัญมากเพราะ:
· สร้างกระแสลมย้อนกลับ (Backflow) ช่วยดึงสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกมาจากหลอดลม
· ป้องกันไม่ให้สิ่งกีดขวางถูกดันลงไปลึกยิ่งขึ้น หากทำเร็วและแรงเกินไปโดยไม่มีจังหวะพัก
3. เพื่อให้แรงกดมีประสิทธิภาพสูงสุด
จุดมุ่งหมายของ Chest thrust ไม่ใช่การ "บีบหัวใจ" เหมือนกับการ CPR แต่เป็นการ "สร้างแรงดันลม" ขึ้นมาในปอดอย่างฉับพลัน
· การกดที่เร็วและรวดเร็วใน 1 วินาที จะสร้างแรงดันได้ดี
· การกดที่ช้าเกินไป แรงดันจะรั่วไหลออกมา ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ
4. ความปลอดภัยของเด็ก
การทำช้าเกินไปอาจทำให้ช่วยไม่ทันการ (สมองขาดออกซิเจน) แต่การทำเร็วและแรงเกินไปโดยขาดจังหวะพักอาจทำให้:
· กระดูกซี่โครงหัก
· อวัยวะภายในบาดเจ็บ
สรุปเทคนิคที่ถูกต้องสำหรับ Chest thrust ในเด็ก (ตอนที่เด็กยังมีสติ)
1. ท่าทาง: จับเด็กนอนหงายบนพื้นแข็ง หรือนอนบนแขนของคุณโดยให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
2. ตำแหน่งมือ: ใช้สันมือข้างหนึ่งวางตรงกลางกระดูกหน้าอก บนกระดูกสันอก (ต่ำกว่าข้อต่อกระดูกหน้าอกประมาณ 1 นิ้วมือ)
3. วิธีการกด: กดทรวงอกให้ ยุบลงประมาณ 1/3 ของความลึกหน้าอก ในระยะเวลาประมาณ 1 วินาที ต่อครั้ง
4. จังหวะ: ทำทีละครั้ง ชัดเจน และมั่นคง "กด - ปล่อย - กด - ปล่อย" โดยให้มีการปล่อยมือ (เต็มที่) เพื่อให้หน้าอกกลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติระหว่างแต่ละครั้ง
ข้อสำคัญ: สลับระหว่าง Chest thrust กับการตรวจดูในปาก (ถ้ามองเห็นสิ่งกีดขวางและสามารถงัดออกได้ safely) และหากเด็กหมดสติ ให้เริ่มทำ CPR ทันที
หมายเหตุ: คำแนะนำนี้เป็นไปตามมาตรฐานของสภากาชาดไทย และสภาวิชาชีพทางการแพทย์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การปฐมพยาบาลที่ถูกต้องควรมาจากการฝึกปฏิบัติจริงในคอร์สฝึกอบรมอย่างถูกต้อง
การกำหนดให้ทำ Chest thrust (การกดทรวงอก) สำหรับการช่วยชีวิตเด็กที่สำลัก โดยทำครั้งละประมาณ 1 วินาที นั้น มีหลักการทางการแพทย์และสรีรวิทยาที่ลึกซึ้ง ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. จลนศาสตร์ของแรงดันในช่องอก (Intrathoracic Pressure Dynamics)
· เป้าหมายหลัก: เป้าหมายของ Chest thrust ไม่ใช่การบีบหัวใจให้เลือดไหลเวียน (เช่นในการทำ CPR) แต่是为了 สร้างแรงดันภายในช่องอกและปอดให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อทำหน้าที่เป็น "เครื่องเป่าลมเชิงกล" (Mechanical Insufflator)
· ฟิสิกส์ของการไอ: โดยธรรมชาติ เมื่อเรามีสิ่งกีดขวางในทางเดินหายใจ สมองจะสั่งให้เกิด反射การไอ (Cough Reflex) ซึ่งประกอบด้วย 3 ระยะ:
1. หายใจเข้าเข้มข้น
2. กลั้นเสียง (ปิด glottis) ชั่วครู่
3. หายใจออกแรงดันสูงอย่างรวดเร็ว โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อหายใจออก
· Chest thrust คือการจำลองการหายใจออกแรงดันสูงนี้: การกดทรวงอกลงอย่างรวดเร็วในเวลา 1 วินาที จะลดปริมาตรช่องอกลงกะทันหัน ทำให้ความดันในปอดและทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้นทันที (ตามกฏของ Boyle's Law: ความดันแปรผกผันกับปริมาตร) แรงดันสูงสุด (Peak Pressure) นี้เองที่จะผลักดันสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกมา
2. จลนศาสตร์ของสิ่งกีดขวาง (Foreign Body Kinematics)
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมีจังหวะ "กด-ปล่อย" ที่ชัดเจน
· ระหว่างการ "กด" (Thrust): แรงดันสูงในทางเดินหายใจจะผลักสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ขึ้นสู่ด้านบน (ในทิศทางออกจากปอด)
· ระหว่างการ "ปล่อย" (Release): เมื่อเราปล่อยมือ ทรวงอกจะขยายตัวกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาตรในช่องอกและทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น และเกิดแรงดันลบ (Negative Pressure) ชั่วขณะ ซึ่งเป็นแรงเดียวกับที่เราใช้หายใจเข้าเข้า
· แรงดันลบนี้จะสร้าง "กระแสลมย้อนกลับ" (Backflow หรือ Reverse Flow) ซึ่งจะช่วย ดึงสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย ก่อนที่แรงดันบวกจาก Chest thrust ครั้งต่อไปจะมาผลักมันต่อ
หากทำ Chest thrust เร็วเกินไปและติดกันเป็นระนาบ (เช่น 2-3 ครั้งใน 1 วินาที) จะไม่มีช่วงเวลาสำหรับการสร้างแรงดันลบนี้ สิ่งกีดขวางอาจถูกผลักให้เคลื่อนที่เพียงครั้งเดียวและอาจหยุดอยู่กับที่ หรือในกรณีที่แย่ที่สุด อาจถูกดันให้เข้าไปลึกยิ่งขึ้นเนื่องจากขาดจังหวะการ "ดึงกลับ" นี้
3. ประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนก๊าซระดับเซลล์
แม้ในสถานการณ์สำลักรุนแรง ที่มีสิ่งกีดขวางสมบูรณ์ จะไม่มีอากาศเข้า-ออกปอด แต่การทำ Chest thrust ที่มีจังหวะพักช่วยในแง่สรีรวิทยา:
· การไหลเวียนโลหิต: การกดทรวงอกแม้จะไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หัวใจโดยตรง แต่ก็มีผลทำให้เลือดในช่องอกและปอดถูกบีบให้ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญได้บ้างเล็กน้อย
· การพัก (Recovery Phase): จังหวะ 1 วินาที ต่อครั้ง ทำให้ผู้ช่วยเหลือมีสมาธิและสามารถประเมินสถานการณ์ได้ระหว่างทำ (เช่น เด็กเริ่มส่งเสียงได้หรือไม่, สิ่งกีดขวางหลุดออกมาหรือยัง) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป (เช่น เปลี่ยนเป็น CPR หากเด็กหมดสติ)
4. การลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
กระดูกซี่โครงของเด็ก โดยเฉพาะทารก มีความยืดหยุ่นแต่ก็เปราะบาง การกดที่เร็วและใช้แรงเกินไปโดยขาดจังหวะพัก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ:
· กระดูกซี่โครงหัก
· ปอดทะลุ (Pneumothorax)
· การบาดเจ็บของตับและม้าม
การกดด้วยจังหวะ 1 วินาที ที่ควบคุมได้ ช่วยให้ผู้ช่วยเหลือสามารถกดด้วยแรงที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่เกินจำเป็น และมีเวลาปรับเปลี่ยนท่าทางหากรู้สึกว่าการกดไม่ถูกต้อง
สรุปเชิงลึกทางการแพทย์
การทำ Chest thrust ครั้งละ 1 วินาที ไม่ใช่แค่การนับเลข แต่เป็น การออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของ "การสร้างและคลายแรงดัน" ในช่องอก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งกีดขวางให้เคลื่อนที่ออกจากทางเดินหายใจอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
· 1 วินาทีของการ "กด": เพื่อสร้าง แรงดันบวก(Positive Peak Pressure) สูงสุด เพื่อผลักสิ่งกีดขวาง
· 1 วินาทีของการ "ปล่อย": เพื่อเปิดโอกาสให้เกิด แรงดันลบ (Negative Pressure) ซึ่งสร้างกระแสลมย้อนกลับเพื่อดึงสิ่งกีดขวาง และทำให้มีออกซิเจนในเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้บ้าง
จังหวะนี้จึงเป็นการ баланระหว่าง ประสิทธิภาพ (Efficacy) ในการกำจัดสิ่งกีดขวาง และ ความปลอดภัย (Safety) ของผู้ป่วยและผู้ให้ความช่วยเหลือ


