คำถาม : คนเราควรมีไขมันในร่างกายเท่าไหร่และเท่าไหร่เรียกว่าเข้าขั้นอันตราย
![]() |
![]() |
![]() |
คนเราควรมีไขมันในร่างกายเท่าไหร่และเท่าไหร่เรียกว่าเข้าขั้นอันตราย
ปริมาณไขมันในร่างกายที่เหมาะสมและระดับที่เป็นอันตรายเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสรีรวิทยา เพศ อายุ พันธุกรรม และสถานะสุขภาพ โดยทั่วไป สามารถแบ่งออกเป็น ไขมันจำเป็น (Essential Fat) และ ไขมันสะสม (Storage Fat) ซึ่งมีบทบาทและเกณฑ์ทางการแพทย์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ไขมันจำเป็น (Essential Fat)
- นิยาม ไขมันที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น เป็นส่วนประกอบของเซลล์ประสาท เยื่อหุ้มเซลล์ ฮอร์โมนสเตียรอยด์ (เช่น เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน) และปกป้องอวัยวะภายใน
- เกณฑ์ทางการแพทย์
- ผู้ชาย 3-5% ของน้ำหนักตัว (ต่ำกว่า 3% อาจทำให้ระบบประสาทและหัวใจล้มเหลว)
- ผู้หญิง 10-13% (ต่ำกว่า 10% ส่งผลต่อภาวะมีบุตรยาก ภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea) และกระดูกพรุน)
- กลไกอันตรายเมื่อต่ำเกินไป
- ภาวะพร่องไขมัน (Lipodystrophy) ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศและวิตามินดี
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไขมันเป็นส่วนประกอบของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น Macrophages)
2. ช่วงไขมันร่างกายที่เหมาะสม (Optimal Body Fat Percentage)
- เกณฑ์ตาม American Journal of Clinical Nutrition
- ผู้ชายสุขภาพดี
- วัยรุ่น (18-25 ปี) 8-15%
- ผู้ใหญ่ (26-55 ปี) 10-22%
- ผู้สูงอายุ (55 ปีขึ้นไป): 12-25%
- ผู้หญิงสุขภาพดี
- วัยรุ่น (18-25 ปี) 21-32%
- ผู้ใหญ่ (26-55 ปี) 23-35%
- ผู้สูงอายุ (55 ปีขึ้นไป) 25-38%
- เหตุผลทางสรีรวิทยา
- ไขมันสะสมในผู้หญิงสูงกว่า เนื่องจากจำเป็นสำหรับการทำงานของรังไข่และตั้งครรภ์
- ผู้สูงอายุต้องการไขมันมากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia)
3. ระดับไขมันที่เข้าขั้นอันตราย (Medical Risk Thresholds)
3.1 ไขมันต่ำเกินไป (Adiposopenia)
- เกณฑ์
- ผู้ชาย <5%
- ผู้หญิง <12%
- ภาวะแทรกซ้อน
- ระบบสืบพันธุ์ ภาวะ Hypogonadism (ฮอร์โมนเพศลดลง)
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) จาก Electrolyte Imbalance
- ระบบโครงสร้าง กระดูกพรุน (Osteoporosis) เนื่องจากขาด Estrogen และ Leptin
3.2 ไขมันสูงเกินไป (Obesity)
- เกณฑ์ตาม WHO
- ผู้ชาย >25%
- ผู้หญิง >32%
- ภาวะแทรกซ้อน
- โรคเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)
- ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) เบาหวานชนิดที่ 2
- ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) เสี่ยงหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)
- การอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation)
- ไขมัน visceral ผลิต Cytokine (เช่น TNF-α, IL-6) เสี่ยงมะเร็งลำไส้/เต้านม
- ความดันโลหิตสูง ไขมันเพิ่มการผลิต Angiotensinogen ระบบ RAAS ทำงานผิดปกติ
4. ปัจจัยทางคลินิกที่ต้องพิจารณา
- การกระจายตัวของไขมัน
- ไขมัน Visceral (ในช่องท้อง) เสี่ยงโรคเมตาบอลิกมากกว่าไขมัน Subcutaneous
- อัตราส่วนเอวต่อสะโพก (Waist-to-Hip Ratio) >0.9 (ชาย) หรือ >0.85 (หญิง) ส่อความเสี่ยง
- พันธุกรรม
- ยีน FTO และ MC4R มีผลต่อการสะสมไขมัน
- ภาวะ Comorbidity
- ผู้ป่วยโรคไตหรือหัวใจ อาจต้องการไขมันสูงกว่าปกติเพื่อป้องกัน Cachexia
5. การประเมินทางคลินิก
- เครื่องมือวัดไขมัน
- DEXA Scan มาตรฐานทองคำ (วัดไขมัน Visceral และ Subcutaneous)
- BIA (Bioelectrical Impedance Analysis)* เหมาะสำหรับการคัดกรอง แต่คลาดเคลื่อนในผู้มีภาวะบวมน้ำ
- การตรวจเลือด
- ระดับ Leptin และ Adiponectin สะท้อนการทำงานของเนื้อเยื่อไขมัน
- CRP (C-reactive Protein) ประเมินการอักเสบจากไขมันส่วนเกิน
6. ข้อแนะนำทางการแพทย์
- ผู้ที่มีไขมันต่ำเกินไป ต้องเสริมโภชนาการพลังงานสูง (High-Calorie Diet) และตรวจฮอร์โมนเพศ
- ผู้ที่มีไขมันสูงเกินไป
- ลดไขมัน 5-10% ของน้ำหนักตัวภายใน 6 เดือน ชะลอความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ใช้ยา GLP-1 Agonist (เช่น Semaglutide) หรือ Orlistat ในกรณีดื้อต่อการปรับพฤติกรรม
สรุปเชิงการแพทย์
ระดับไขมันที่ "เหมาะสม" ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว แต่ต้องพิจารณาภาวะสุขภาพร่วมด้วย เช่น ผู้ป่วยมะเร็งอาจต้องการไขมันสูงเพื่อรับมือกับ Chemotherapy ขณะที่นักกีฬาอาจมีไขมันต่ำแต่แข็งแรงได้ หากไม่มีภาวะขาดสารอาหาร ส่วนระดับ "อันตราย" หมายถึงจุดที่ไขมันก่อให้เกิด Pathophysiological Cascade เช่น การอักเสบเรื้อรังหรือภาวะ Hormonal Imbalance การประเมินควรทำโดยแพทย์ร่วมกับการตรวจเลือดและประวัติสุขภาพ!