แชร์

คำถาม : สายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) ที่กำลังระบาดในประเทศไทยในช่วงปัจจุบัน คือ??

 

                 

 

สายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) ที่กำลังระบาดในประเทศไทยในช่วงปัจจุบัน คือ??
1. สายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยปัจจุบัน (2024 ต้นปี 2025)
ณ ตอนนี้ (ข้อมูลอ้างอิงจาก GISAID, WHO และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขไทย) สายพันธุ์หลักที่พบมากที่สุดในประเทศไทยคือ
XBB.1.16 (Arcturus) และ EG.5 (Eris)
โดยทั้งสองเป็น "sublineage" ของสายพันธุ์ Omicron ซึ่งโดดเด่นเรื่องการแพร่กระจายได้เร็ว แต่มักทำให้อาการไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ก่อนหน้า เช่น Delta

2. การเปลี่ยนแปลงระดับโมเลกุล (Molecular Characteristics)
XBB.1.16 (Arcturus)
- เป็นลูกผสม (recombinant) ระหว่าง BA.2.10.1 และ BA.2.75
- มีการกลายพันธุ์ที่ spike protein (โปรตีนหนาม) หลายตำแหน่ง
- E484K เพิ่มความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกัน
- F456L เปลี่ยนโครงสร้าง spike เพื่อเพิ่มการจับกับเซลล์มนุษย์
- T478K พบในหลายสายพันธุ์ก่อนหน้า เช่น Delta
- มีการกลายพันธุ์ K444N ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยา monoclonal antibody บางชนิด
EG.5 (Eris)
- เป็นสายพันธุ์ย่อยของ Omicron BA.2 ที่เกิดจากการกลายพันธุ์เพิ่มเติม
- มีการกลายพันธุ์สำคัญ:
- F456L
- Q52H
- R346T กลายพันธุ์ที่ทำให้สามารถหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือการติดเชื้อเดิมได้ดีขึ้น
- โครงสร้าง spike protein ทำให้มีความเสถียรสูงกว่าเดิม ช่วยเพิ่มการติดต่อ

3. ทำไมอาการถึงไม่รุนแรง ?
แม้จะติดต่อได้ง่าย แต่ XBB.1.16 และ EG.5 มักทำให้อาการไม่รุนแรง เพราะ
ระดับโมเลกุล
- ลดการเข้าสู่ปอด Spike protein ของ Omicron และลูกผสมมีแนวโน้มจับกับ ACE2 receptor ในทางเดินหายใจส่วนบน มากกว่าปอด ทำให้เกิดอาการแบบหวัดธรรมดา เช่น ไอ เจ็บคอ ไข้ต่ำ
- ลดการหลอมรวมเซลล์ (cell fusion) ไวรัสสายพันธุ์ก่อน เช่น Delta จะกระตุ้นให้เซลล์หลอมรวมกันเป็น multinucleated giant cells (syncytia) ซึ่งทำลายเนื้อเยื่อปอด ส่วน Omicron และ EG.5/XBB.1.16 ทำได้น้อย

ระดับภูมิคุ้มกัน
- ประชากรไทยส่วนใหญ่เคยติดเชื้อ Omicron หรือฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้มีภูมิคุ้มกันข้ามตอบสนอง (cross-immunity)
- วัคซีน mRNA และ inactivated vaccine ยังสามารถป้องกันอาการรุนแรงได้แม้ไม่ป้องกันการติดเชื้อทั้งหมด

4. สถิติและแนวโน้มในไทย (ข้อมูล ณ ไตรมาส 1 ปี 2025)
- จำนวนผู้ติดเชื้อรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น แต่ อัตราเข้าโรงพยาบาล / อัตราเสียชีวิตต่ำมาก
- ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว
- ไม่มีรายงานการกลายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงในวงกว้าง

5. สรุปใจความสำคัญ (เข้าใจง่าย ๆ)
> ปัจจุบันในไทย โควิดที่ระบาดอยู่ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ XBB.1.16 (Arcturus) และ EG.5 (Eris) ซึ่งเป็นลูกหลานของ Omicron
> พวกนี้ติดง่ายมาก เพราะมีการกลายพันธุ์ที่ช่วยให้หลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ อาการโดยรวมไม่รุนแรง เพราะไวรัสเข้าปอดน้อยลง
> คนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนครบ หรือเคยติดเชื้อมาแล้ว มักจะมีอาการคล้ายหวัด เช่น ไอ เจ็บคอ ไข้ต่ำ
> แต่คนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ยังคงต้องระวัง เพราะอาจมีอาการรุนแรงได้

สรุปสั้น ๆ เข้าใจง่าย
- โควิดสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยขณะนี้คือ XBB.1.16 (Arcturus) และ EG.5 (Eris)
- ทั้งสองสายพันธุ์เป็นลูกผสมของ Omicron ซึ่งมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งบน โปรตีนหนาม (Spike Protein)
- ทำให้ไวรัส แพร่กระจายได้เร็วมาก และสามารถ หลบภูมิคุ้มกันได้ดี
- แต่มักทำให้อาการไม่รุนแรง เพราะ
- เข้าสู่ร่างกายที่ ทางเดินหายใจส่วนบน มากกว่าปอด
- ไม่ทำให้เซลล์ในปอดหลอมรวมกันมากเท่าสายพันธุ์ก่อน เช่น Delta
- คนส่วนใหญ่ที่เคยฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อ Omicron มาแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันข้ามตอบสนอง ช่วยป้องกันอาการรุนแรง
- กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ยังคงต้องระวัง เพราะอาจป่วยหนักได้

ปัจจุบัน (2025) การรักษาผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ในประเทศไทย โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ เช่น XBB.1.16 (Arcturus) และ EG.5 (Eris) มีการใช้ยาหลายชนิด ขึ้นกับอาการและกลุ่มเสี่ยงของผู้ป่วย

คำถาม: "ตอนนี้ใช้ยาอะไรรักษา molnupiravir ได้ผลไหม?"
สรุปสั้นก่อนอ่านยาว
- Molnupiravir ยังสามารถใช้รักษาโควิดในบางกรณีได้
- ได้ผลดีหากให้เร็วในช่วง 35 วันแรกหลังมีอาการ
- ประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ Omicron และลูกผสม
- แต่ยังเหมาะสำหรับ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง ที่ไม่สามารถเข้าถึงยาอื่นได้

รายละเอียดยาที่ใช้รักษาโควิดในไทย ปี 2025
| ชื่อยา | ประเภท | กลไกการทำงาน | ประสิทธิภาพต่อ XBB/EG.5 |
| Molnupiravir | Nucleoside analog | เลียนแบบ RNA ทำให้ไวรัสกลายพันธุ์จนทำงานไม่ได้ | ใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย |
| Paxlovid (Nirmatrelvir + Ritonavir) | Protease inhibitor | ยับยั้งเอนไซม์สำคัญของไวรัส | ดีที่สุดในปัจจุบัน หากไม่มีปฏิกิริยากับยาอื่น |
| Remdesivir | RdRp inhibitor | ยับยั้งการจำลอง RNA ของไวรัส | ใช้ในผู้ป่วยที่อาการเริ่มหนัก |
| Baricitinib / Tocilizumab | Anti-inflammatory | ลดการอักเสบจากภูมิคุ้มกันเกิน | ใช้ในผู้ป่วยอาการรุนแรง |

Molnupiravir ใช้ได้ผลไหม?
กลไกการทำงาน
- เป็น nucleoside analog ของ RNA ของไวรัส
- เมื่อไวรัสใช้มันในการจำลองตัวเอง จะเกิด error catastrophe ไวรัสกลายพันธุ์จนไม่สามารถทำงานได้
ประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์ใหม่
- แม้จะใช้ได้ผลในอดีต แต่ประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อยในสายพันธุ์ Omicron และลูกผสม (XBB, EG.5)
- เพราะไวรัสมีระบบแก้ไขความผิดพลาด (proofreading enzyme) ที่ดีขึ้น ทำให้หลุดพ้นจาก molnupiravir ได้มากขึ้น
คำแนะนำการใช้งาน
- เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงแต่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ, เบาหวาน, หัวใจ, มะเร็ง
- ควรใช้ภายใน 5 วันแรก หลังมีอาการ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก
- ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี (เพราะยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยแน่ชัด)

แนวทางการรักษาในไทยปัจจุบัน (ตามกระทรวงสาธารณสุข)
| ระดับอาการ | ยาที่แนะนำ |
| ไม่มีอาการ / อาการเล็กน้อย | ประคับประคอง + ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล |
| อาการไม่รุนแรง แต่เป็นกลุ่มเสี่ยง | Paxlovid เป็นอันดับหนึ่ง หรือ Molnupiravir หากใช้ Paxlovid ไม่ได้ |
| อาการปานกลาง | Remdesivir IV |
| อาการรุนแรง / หายใจลำบาก | Dexamethasone, Remdesivir, และอาจใช้ Baricitinib/Tocilizumab |

สรุปใจความสำคัญ (เข้าใจง่าย ๆ)
> ปัจจุบันในไทยยังใช้ molnupiravir ในการรักษาโควิดได้ แต่ ประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย ต่อสายพันธุ์ใหม่
> ยังเหมาะกับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่อาการไม่รุนแรง
> ต้องกินภายใน 5 วันแรก หลังมีอาการ
> ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และ เด็กเล็ก
> ยามีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบันคือ Paxlovid แต่ต้องระวังปฏิกิริยากับยาอื่น

ปัจจุบัน (ปี 2025) ในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก มียาต้านไวรัสและยาอื่น ๆ ที่ใช้ในการรักษา โควิด-19 อย่างแพร่หลาย โดยแบ่งตามระดับอาการและความเสี่ยงของผู้ป่วย

รายชื่อยาที่ใช้รักษาโควิด-19 ในไทยตอนนี้
| ชื่อยา | ประเภท | กลไกการทำงาน | กลุ่มผู้ป่วยที่เหมาะสม |
| Paxlovid (Nirmatrelvir + Ritonavir) | ยาต้านไวรัส | ยับยั้ง protease ของไวรัส หยุดการสร้างไวรัสใหม่ | ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงแต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ, เบาหวาน, หัวใจ |
| Molnupiravir | ยาต้านไวรัส | เลียนแบบ RNA ทำให้ไวรัสกลายพันธุ์จนทำงานไม่ได้ | ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง แต่ไม่สามารถใช้ Paxlovid ได้ |
| Remdesivir | ยาต้านไวรัส | ยับยั้ง RdRp enzyme หยุดการจำลอง RNA ของไวรัส | ผู้ป่วยอาการเริ่มหนักหรือเข้าโรงพยาบาล |
| Dexamethasone | สเตียรอยด์ | ลดการอักเสบจากภูมิคุ้มกันเกิน | ผู้ป่วยอาการรุนแรง มีปอดอักเสบ หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ |
| Baricitinib / Tocilizumab | ยากดภูมิคุ้มกัน | ยับยั้งไซโตไคน์ เช่น IL-6 เพื่อลด "ไซโตไคน์สตอร์ม" | ผู้ป่วยอาการรุนแรงมาก |
| พาราเซตามอล (Paracetamol) | ยาลดไข้/แก้อักเสบ | ลดไข้และปวดเมื่อย | ผู้ป่วยอาการเล็กน้อย |

แนวทางการใช้ยาตามระดับอาการ (กระทรวงสาธารณสุข)
| ระดับอาการ | การรักษา |
| ไม่มีอาการ / อาการเล็กน้อย เช่น ไอ เจ็บคอ ไข้ต่ำ | พักผ่อน ดื่มน้ำเยอะๆ ทานยาพาราเซตามอลหากมีไข้หรือปวด |
| อาการไม่รุนแรง แต่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว | ใช้ Paxlovid เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่ขัดแย้งกับยาอื่นๆ ใช้ Molnupiravir หากใช้ Paxlovid ไม่ได้ |
| อาการปานกลางเช่น ไข้สูง ไอหนัก ออกซิเจนในเลือดลดลง | ใช้ Remdesivir อาจให้สเตียรอยด์ เช่น Dexamethasone |
| อาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ปอดอักเสบ | Remdesivir IV Dexamethasone Baricitinib หรือ Tocilizumab ถ้าจำเป็น สนับสนุนระบบหายใจ (Oxygen, Ventilator) |

ข้อควรระวังสำคัญ
| ยา | ข้อควรระวัง |
| Paxlovid | ปฏิกิริยากับยาอื่น เช่น statin, anticoagulant, ยากดภูมิคุ้มกัน ห้ามใช้ในผู้แพ้ยา |
| Molnupiravir | ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุ < 18 ปี ผู้ชายควรใช้ถุงยางอนามัยหลังใช้ยาอย่างน้อย 3 เดือน |
| Remdesivir | ห้ามในผู้แพ้ยา ต้องให้ทางหลอดเลือดดำโดยแพทย์ |
| Dexamethasone | ห้ามหยุดยาเอง ต้องค่อย ๆ ลดขนาดยา อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น |

สรุปใจความสำคัญ (เข้าใจง่าย ๆ)
> ปัจจุบันมียาต้านไวรัสสำหรับรักษาโควิดหลายชนิด เช่น Paxlovid, Molnupiravir, และ Remdesivir
> Paxlovid ได้ผลดีที่สุดในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง แต่ต้องระวังปฏิกิริยากับยาอื่น
> Molnupiravir ใช้ได้ผลในบางกรณี แต่ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
> Remdesivir ใช้ในผู้ป่วยอาการปานกลางถึงรุนแรง
> ผู้ป่วยอาการหนักอาจต้องใช้ สเตียรอยด์ หรือ ยากดภูมิคุ้มกัน ร่วมด้วย


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy