แชร์

คำถาม : RSV คืออะไร

 

คำถาม : RSV คืออะไร

RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในวงศ์ Paramyxoviridae, สกุล Pneumovirus ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี RSV เป็นสาเหตุหลักของโรค bronchiolitis และ pneumonia ในเด็ก และสามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีโรคหัวใจหรือปอดเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

1. เชิงไวรัสวิทยา (Virology)
ชนิดของไวรัส:RSV เป็น RNA virus สายเดี่ยว ชนิดลบ (single-stranded, negative-sense RNA virus)
จีโนม:มีความยาวประมาณ 15 kb ประกอบด้วยยีนประมาณ 10 ชนิดที่เข้ารหัสโปรตีนโครงสร้างและไม่ใช่โครงสร้าง เช่น F (fusion), G (attachment), N (nucleoprotein), P (phosphoprotein), L (large polymerase protein) เป็นต้น
โปรตีนสำคัญ
G protein:ช่วยในการเกาะกับเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ
F protein:มีบทบาทสำคัญในการหลอมรวมไวรัสเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย และทำให้เกิด syncytia หรือการรวมตัวของเซลล์ติดกันเป็นกลุ่ม Serotypes:มี 2 serotypes หลักคือ RSV-A และ RSV-B โดย RSV-A มักมีความรุนแรงมากกว่า RSV-B และแพร่ระบาดได้มากกว่า

2. พยาธิสรีรวิทยา (Pathophysiology)
RSV ติดเชื้อผ่านทางระบบทางเดินหายใจ โดยการสัมผัสละอองฝอย (respiratory droplets) หรือละอองที่ตกค้างบนพื้นผิว
เชื้อจะติดเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจและก่อให้เกิดการอักเสบ การหลั่งสารคัดหลั่งจำนวนมาก และการหลั่ง mucous
ก่อให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจขนาดเล็ก (small airway obstruction) โดยเฉพาะใน bronchioles
ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซผิดปกติ เกิดภาวะ hypoxia และ work of breathing เพิ่มขึ้น

3. อาการทางคลินิก (Clinical Manifestations)
ในทารกและเด็กเล็ก
Rhinorrhea, nasal congestion
Cough
Wheezing
Tachypnea
Retractions, nasal flaring
Hypoxia
Poor feeding
Apnea (โดยเฉพาะในทารกอายุน้อยกว่า 6 สัปดาห์)

ในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ
อาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ
ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังอาจเกิดโรคกำเริบ เช่น COPD exacerbation หรือ pneumonia

4. การวินิจฉัย (Diagnosis)
การวินิจฉัยเบื้องต้น:จากอาการทางคลินิก โดยเฉพาะในช่วงฤดูระบาด (ฤดูฝน-ฤดูหนาว)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
Rapid antigen detection test (RADT)จาก nasopharyngeal swab
Reverse transcription polymerase chain reaction (RT-PCR):มีความไวและจำเพาะสูง ใช้บ่อยในโรงพยาบาลใหญ่
Viral culture:ใช้ในงานวิจัยมากกว่าเพราะใช้เวลานาน
Chest X-ray:อาจพบ hyperinflation, peribronchial cuffing, patchy infiltrates

5. การรักษา (Treatment)
การรักษาส่วนใหญ่เป็นแบบประคับประคอง (Supportive care)
ให้ออกซิเจน:หากมี hypoxia (SpO < 9092%)
ให้น้ำและสารน้ำ:โดยเฉพาะถ้ามีภาวะ dehydration จากการกินได้น้อย
การดูดเสมหะ (suction):มีประโยชน์ในเด็กที่มี nasal congestion มาก
เครื่องช่วยหายใจ (ในกรณีรุนแรง):อาจใช้ HFNC, CPAP หรือ mechanical ventilation

ยาที่ไม่แนะนำให้ใช้ทั่วไป
Bronchodilators (เช่น salbutamol):ไม่ได้ผลในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ยกเว้นบางรายที่มีโรคประจำตัวเช่น asthma
Corticosteroids:ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถลดระยะเวลาป่วยหรือความรุนแรงได้
Antibiotics:ไม่แนะนำ เว้นแต่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ยาต้านไวรัส
Ribavirin:เป็นยาต้านไวรัสที่สามารถใช้ได้ในบางรายที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงเท่านั้น (เช่น bone marrow transplant) แต่ไม่ใช้เป็น routine เนื่องจากประสิทธิภาพไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงสูง

6. การป้องกัน (Prevention)
1. มาตรการควบคุมการติดเชื้อ
ล้างมือบ่อย
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการ
ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย
แยกผู้ป่วยในโรงพยาบาล
2. การให้ภูมิคุ้มกันเชิงรับ (Passive Immunization)
Palivizumab:monoclonal antibody ที่จับกับ F protein ของ RSV ใช้ในเด็กกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น
เด็กคลอดก่อนกำหนด < 29 สัปดาห์
เด็กที่มี BPD (bronchopulmonary dysplasia)
เด็กที่มี congenital heart disease
ให้แบบ monthly injection ตลอดฤดูการระบาด (เดือนละ 1 เข็ม สูงสุด 5 เข็ม)
Nirsevimab:monoclonal antibody รุ่นใหม่ มี half-life ยาวกว่า ให้ครั้งเดียวต่อฤดูการระบาด มีการนำมาใช้ในบางประเทศ
3. วัคซีน (Vaccine)
ปัจจุบันมีการพัฒนาและรับรองวัคซีน RSV สำหรับกลุ่มต่อไปนี้:
ผู้ใหญ่ 60 ปี:เช่นวัคซีน RSVPreF3 (GSK) และ RSVpreF (Pfizer)
หญิงตั้งครรภ์:เพื่อป้องกันลูกในครรภ์จากการติดเชื้อในช่วงแรกเกิด
วัคซีนสำหรับเด็ก:กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา

7. พยากรณ์โรค (Prognosis)

เด็กส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 12 สัปดาห์
กลุ่มเสี่ยงอาจมีอาการรุนแรง และอาจต้องนอนโรงพยาบาล
เด็กบางรายที่เคยเป็น RSV bronchiolitis อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็น wheezing หรือ asthma ในอนาคต


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy