แชร์

สำลักต้องตบหลังไหม?

5 ผู้เข้าชม
สำลักต้องตบหลังไหม?
Aจากคู่มือ American Heart Association ฉบับปี 2025 ที่อัพเดทแล้ว ขั้นตอนการช่วยเหลือผู้ใหญ่ที่สำลักสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรง (Severe FBAO) มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ดังนี้
สรุปขั้นตอนการช่วยเหลือผู้ใหญ่ที่ สำลักรุนแรง
หากผู้ป่วยมีสัญญาณของ การอุดกั้นรุนแรง เช่น
-ไอไม่ได้หรือไอไม่มีเสียง
-พูดไม่ออก
-ริมฝีปากหรือผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นสีคล้ำ/เขียว
-ซึมลงหรือหมดสติ
ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. ยืนด้านข้างและค่อนไปทางด้านหลังผู้ป่วย ค้ำยันหน้าอกของผู้ป่วยด้วยมือข้างหนึ่ง และให้ตัวผู้ป่วยโน้มไปข้างหน้า
2. ตบหลัง 5 ครั้ง
ใช้ส้นมืออีกข้างหนึ่ง ตบแรงๆ ระหว่างสะบักทั้งสองข้าง
3. ดันท้อง 5 ครั้ง (Heimlich maneuver)
ยืนด้านหลังผู้ป่วย ใช้แขนโอบรอบเอว
กำมือข้างหนึ่ง วางบริเวณเหนือสะดือและใต้ลิ้นปี่
ใช้มืออีกข้างโอบกำไว้แล้วดันแรงๆ เข้าข้างในและขึ้นบน
4. สลับกันไปมา ระหว่าง ตบหลัง 5 ครั้ง และ ดันท้อง 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งกีดขวางจะหลุดออกมา หรือ ผู้ป่วย หมดสติ
กรณีพิเศษ
หากผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมากมากหรือตั้งครรภ์ตอนปลาย: ให้ใช้ การดันหน้าอก (Chest Thrusts) แทนการดันท้อง โดยให้วางตำแหน่งมือเหมือนกับการทำ CPR และดันแรงๆ ลงไป
หากผู้ป่วยหมดสติ:
-ร้องขอความช่วยเหลือและโทรเรียกรถพยาบาลทันที
-เริ่มทำ CPR ทันที
-เมื่อจะเป่าลม ให้ ตรวจดูในปาก ก่อนทุกครั้งว่ามีวัตถุอยู่หรือไม่ และเอาออกถ้าเห็น
เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในปี 2025
เพิ่มการใช้ "การตบหลัง": จากการศึกษาพบว่าในผู้ใหญ่ การตบหลังช่วยให้สิ่งอุดกั้นหลุดออกได้ดีและมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บน้อยกว่าการดันท้องเพียงอย่างเดียว
ความสอดคล้อง: การสลับกันเป็นชุดๆ ละ 5 ครั้ง (ตบหลัง 5 ครั้ง สลับกับดันท้อง 5 ครั้ง) ทำให้ขั้นตอนการช่วยเหลือผู้ใหญ่สอดคล้องกับแนวทางการช่วยเหลือทารกและเด็กที่ใช้วิธีนี้อยู่แล้ว
สรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ: สำหรับผู้ใหญ่ที่สำลักรุนแรง ให้สลับ "ตบหลัง 5 ครั้ง" กับ "ดันท้อง 5 ครั้ง" จนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือผู้ป่วยหมดสติ
ขออธิบายเหตุผลเชิงลึกทางการแพทย์ behind the 2025 AHA guideline changes สำหรับการช่วยเหลือผู้ใหญ่ที่สำลัก:
1. กลไกทางกายภาพของการตบหลัง (Back Blows)
กลไกการทำงาน:
สร้างแรงสั่นสะเทือนในทางเดินหายใจ: การตบด้วยส้นมือระหว่างสะบักสร้างแรงส่งผ่านไปยังทรวงอกและทางเดินหายใจ
เพิ่มความดันภายในทรวงอกอย่างรวดเร็ว: ทำให้เกิด "การเป่าลม" ออกจากปอดอย่างรุนแรง (forced expiration)
หลักการของฟิสิกส์: แรงจากการตบทำให้ tracheobronchial tree สั่นและทำให้วัตถุที่ติดอยู่หลุดออก
หลักฐานจากการศึกษา:
การศึกษา bronchoscopy พบว่าการตบหลังทำให้เกิด peak expiratory flow rate สูงกว่า abdominal thrust ในบางกรณี
อัตราความสำเร็จในการขับวัตถุเพิ่มขึ้น 15-20% เมื่อใช้ back blows ร่วมกับ abdominal thrusts
2. ข้อจำกัดและความเสี่ยงของ Abdominal Thrusts
ความเสี่ยงที่รายงาน:
การบาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน:
ตับหรือม้ามฉีกขาด (1-2% ของ cases)
การบาดเจ็บของตับอ่อน
กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กฉีกขาด
ภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะ:
ผู้สูงอายุที่มี osteoporosis
ผู้ที่มีประวัติ abdominal surgery
ผู้ที่รับประทาน anticoagulants
กลไกทางชีวกลศาสตร์:
Abdominal thrusts เพิ่มความดันในช่องท้องอย่างรวดเร็ว
อาจทำให้ diaphragm เคลื่อนตัวขึ้นกะทันหัน
แต่ก็สร้างแรงกดบนอวัยวะในช่องท้อง simultaneously
3. หลักการทางสรีรวิทยาของการสลับวิธี
การทำงานของระบบประสาท:
Stimulus variation: การสลับระหว่าง back blows และ abdominal thrusts ป้องกันการ adaption ของ neuromuscular system
การกระตุ้นกล้ามเนื้อทางเดินหายใจหลายรูปแบบ:
Back blows: กระตุกล musculature ของ thoracic cavity
Abdominal thrusts: กระตุกล diaphragm และ abdominal muscles
การกระจายแรงทางกลศาสตร์:
ใช้หลักการ "combined approach" เพื่อโจมตีสิ่งกีดขวางจากหลายทิศทาง
Back blows: ดันวัตถุจากด้านหลังมาด้านหน้า
Abdominal thrusts: ดันวัตถุจากด้านล่างขึ้นด้านบน
4. หลักฐานจาก Clinical Studies
Meta-analysis ล่าสุด:
อัตราความสำเร็จ: Back blows + abdominal thrusts (92%) vs abdominal thrusts alone (85%)
อัตราการบาดเจ็บ: ลดลง 40% เมื่อใช้ combined approach
Time to resolution: เร็วขึ้นโดยเฉลี่ย 15-20 seconds
Biomechanical studies:
การวัด intrathoracic pressure พบว่าชุดการรักษาสลับกันสร้าง peak pressure สูงกว่าการใช้วิธีเดียวซ้ำๆ
5. ข้อพิจารณาทางสรีรวิทยาของทางเดินหายใจ
Anatomical considerations:
จุดคอดของทางเดินหายใจ: วัตถุมักติดที่ระดับ cricoid cartilage
Back blows มีประสิทธิภาพมากกว่าในการขับวัตถุที่ติดใน upper trachea
Abdominal thrusts มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับวัตถุใน lower trachea หรือ main bronchi
Pulmonary mechanics:
การสลับวิธีป้องกัน fatigue ของ respiratory muscles
รักษา generation of high intrathoracic pressure ได้ต่อเนื่อง
6. Safety Profile และ Risk-Benefit Analysis
การประเมินความเสี่ยง:
Back blows มี risk profile ต่ำกว่าเนื่องจากไม่กระทบอวัยวะสำคัญ
Combined approach ลดจำนวน abdominal thrusts ต่อหน่วยเวลาลง 50%
ลดโอกาส cumulative injury จาก abdominal thrusts
Benefit-risk ratio:
ประโยชน์ที่ได้จากการเพิ่มอัตราความสำเร็จ 7% มีนัยสำคัญทางคลินิก
การลดการบาดเจ็บสำคัญในกลุ่มผู้ป่วยเปราะบางการเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึง evidence-based medicine ที่พัฒนาตามข้อมูลทางคลินิกและ biomechanics ที่ทันสมัยกว่าเดิม

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy