แชร์

LVAD คืออะไร?

70 ผู้เข้าชม

LVAD คืออะไร?
หัวข้อหลัก:แนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยที่มี Left Ventricular Assist Device (LVAD) ที่ไม่ตอบสนอง
ประเด็นสำคัญ:
1.การประเมินผู้ป่วย:ในผู้ใหญ่และเด็กที่มี LVAD ซึ่งไม่ตอบสนองและมีการไหลเวียนเลือดบกพร่อง ( impaired perfusion) ให้นึกถึงภาวะหัวใจหยุดเต้น
2. การเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2025 (ใหม่):
ควรทำการกดหน้าอกในผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่มีการไหลเวียนเลือดบกพร่อง
เป็นการสมเหตุสมผลที่จะเริ่มกดหน้าอกทันที พร้อมๆ กับการหาสาเหตุที่แก้ไขได้จากอุปกรณ์
3. เหตุผลของการเปลี่ยนแปลง:
-การหาชีพจรแบบ palpable ทำได้ยากในผู้ป่วย LVAD ทำให้ยืนยันภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ลำบาก
-ให้ประเมินการไหลเวียนเลือดจากสัญญาณอื่นๆ เช่น สีผิว อุณหภูมิผิว capillary refill, ความดันเลือดเฉลี่ย (MAP) และค่า end-tidal CO2
 ถึงแม้จะมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับผลลัพธ์ แต่ประโยชน์ที่อาจได้จากการทำ CPR มีค่ามากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี**ที่อุปกรณ์จะเคลื่อนออกจากตำแหน่ง
4.แนวทางการปฏิบัติ (สรุปจากอัลกอริทึม):
หากการไหลเวียนเลือดไม่ดี: ให้เริ่มกดหน้าอกพร้อมทั้งพยายามหาสาเหตุและแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับตัวอุปกรณ์ LVAD เอง (หากมีผู้ช่วยเหลือคนที่สอง)
หากการไหลเวียนเลือดยังดี: ไม่ต้องกดหน้าอก** แต่ให้ตรวจสอบการไหลเวียนเลือดต่อไป
ดำเนินการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน/ก้าวหน้าตามปกติ (BLS/ALS)
ติดต่อและส่งตัวผู้ป่วยไปยังศูนย์ VAD

สรุปใจความสำคัญ:คู่มือฉบับใหม่ในปี 2025 เน้นย้ำให้ทำการกดหน้าอกในผู้ป่วย LVAD ที่ไม่ตอบสนองและมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการไหลเวียนเลือดบกพร่อง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงของการทำให้อุปกรณ์เคลื่อนมากเกินไป 
เข้าใจครับ นี่คือสรุปรายละเอียดเชิงลึกทางการแพทย์จากเนื้อหาที่ให้มา โดยอธิบายเป็นภาษาไทย
สรุปแนวทางการจัดการผู้ป่วย LVAD ที่ไม่ตอบสนอง: รายละเอียดทางการแพทย์
หัวใจสำคัญของแนวทางปี 2025 คือ "ให้เริ่มกดหน้าอกทันที" ในผู้ป่วย LVAD ที่ไม่ตอบสนองและมีการไหลเวียนเลือดบกพร่อง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
1. การวินิจฉัยที่ท้าทาย: ทำไมถึงบอกว่าหัวใจหยุดเต้นยาก?
ไม่มีชีพจร = ปกติในผู้ป่วย LVAD: LVAD รุ่นใหม่ๆ เป็นแบบ "continuous-flow" ซึ่งปั๊มเลือดอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการเต้นเป็นจังหวะชัดเจนเหมือนหัวใจตามธรรมชาติ ดังนั้น การคลำไม่เจอชีพจร (Absent Pulse) จึงเป็นเรื่องปกติ ในผู้ป่วย LVAD ที่มีสถานะคงที่ และไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยภาวะหัวใจหยุดเต้นได้
นิยาม "หัวใจหยุดเต้น" ในผู้ป่วย LVAD: ภาวะหัวใจหยุดเต้นในกลุ่มนี้ หมายถึง "การที่มีการไหลเวียนเลือดบกพร่อง (Impaired Perfusion)" ในคนที่ไม่ตอบสนอง โดยไม่สนใจว่าหัวใจจะยังเต้นอยู่หรือไม่ เพราะถึงเต้น แต่ถ้า LVAD หยุดทำงาน ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตได้
2. สาเหตุหลักที่ทำให้ "การไหลเวียนเลือดบกพร่อง"
เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนอง และสงสัยว่าหัวใจหยุดเต้น ต้องคิดถึงสาเหตุเหล่านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวอุปกรณ์ LVAD โดยตรง:
ลิ่มเลือดอุดตันในปั๊ม (Pump Thrombosis): มีก้อนเลือดมาอุดตันในตัวปั๊ม ทำให้ปั๊มทำงานไม่ได้หรือประสิทธิภาพต่ำลง
ภาวะดูดติดผนังหัวใจ (Suction Event): ทางเข้าของปั๊มดูดติดกับผนังหัวใจห้องล่างซ้าย ทำให้เลือดไหลเข้าไปในปั๊มไม่ได้
หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง (Arrhythmias): เช่น Ventricular Tachycardia (VT) หรือ VF ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวไม่เป็นจังหวะ หรือไม่บีบตัวเลย ส่งผลให้ไม่มีเลือดไปเลี้ยงปั๊ม (ลด Preload)
ภาวะเลือดออกหรือขาดน้ำรุนแรง (Bleeding/Hypovolemia): ปริมาณเลือดในร่างกายน้อยลง ทำให้ไม่มีเลือดไปเติมให้ปั๊ม (Preload ต่ำ)
หัวใจห้องขวาวาย (Right Ventricular Failure): หัวใจห้องขวาไม่สามารถปั๊มเลือดไปที่ปอดและหัวใจห้องซ้ายได้ ทำให้ปั๊ม LVAD ไม่มีเลือดที่จะส่งต่อ
ปัญหาแหล่งพลังงาน (Power Issues): สายไฟหลุด, แบตเตอรี่หมด, ตัวควบคุม (Controller) ขัดข้อง
3. ทำไมแนวทางปี 2025 ถึง "ให้กดหน้าอก" ทั้งที่เคยกลัวว่าอุปกรณ์จะเคลื่อน?
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งอ้างอิงจากหลักฐานใหม่:
แนวทางเดิม (ความกลัวเชิงทฤษฎี): เคยกลัวว่าการกดหน้าอกอาจทำให้ "ท่อทางเข้า (Inflow Cannula)" ที่เสียบในหัวใจห้องล่างซ้าย หรือ "ท่อทางออก (Outflow Graft)" ที่ต่อกับเส้นเลือดใหญ่ Aorta หลุด ขยับ หรือเสียหาย รวมถึงอาจทำให้มีเลือดออกมาก
แนวทางใหม่ (หลักฐานที่ได้จากข้อมูลจริง):
ข้อมูลจากทะเบียนผู้ป่วย (Registry Data): ข้อมูลจากฐานข้อมูลเช่น INTERMACS พบว่า แม้ผลลัพธ์ของผู้ป่วย LVAD ที่ได้รับ CPR จะยังไม่ดีมาก แต่เกือบทุกคนที่รอดชีวิต ล้วนเคยได้รับ CPR มาแล้ว ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับ CPR มักเสียชีวิตทั้งหมด
ความเสี่ยง "อุปกรณ์เคลื่อน" ต่ำกว่าที่คิด: การศึกษาพบว่าตัวปั๊มและท่อต่างๆ ที่ฝังในร่างกายมีความแข็งแรงและติดตั้งมั่นคง ความเสี่ยงที่จะขยับหรือหลุดจากการกดหน้าอกนั้นมีจริง แต่ต่ำกว่าความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพราะไม่ได้รับการกดหน้าอกเลย
ประโยชนฺ์ของการมีเลือดไหลเวียนสำคัญกว่าความเสี่ยง: การกดหน้าอกช่วยรักษาการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจ ในขณะที่ทีมแพทย์มีโอกาสได้แก้ไขสาเหตุที่ reversed ได้ (เช่น ช็อกไฟฟ้า, ให้เลือด) "โอกาสที่จะรอดชีวิตมีค่ามากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎี"
4. ขั้นตอนการปฏิบัติเชิงลึก ตามอัลกอริทึม
แนวทางนี้ใช้การทำงานแบบ "สองเส้นคู่ขนาน"
ขั้นที่ 1: ประเมินและจัดการพร้อมกัน
สิ่งที่เจอ: ผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
สิ่งที่ต้องทำ:
ช่วยหายใจและให้ออกซิเจนสูง: เพื่อรักษาระดับออกซิเจนในเลือด ควรติด End-Tidal CO2 (EtCO2) ซึ่งค่าที่ต่ำมาก (<10-15 mmHg) บ่งชี้ว่าเลือดไหลเวียนไม่ดี
ประเมินการไหลเวียนเลือด (ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด):
ดูจากอาการ: ตัวซีดหรือเขียว, ตัวเย็น, กดนิ้วแล้วเลือดกลับช้า (>2 วินาที)
ดูจากข้อมูล: วัดความดันเลือดด้วยเครื่อง Doppler (เพราะคลำชีพจรไม่ได้) หากค่า Mean Arterial Pressure (MAP) ต่ำกว่า 50-60 mmHg ถือว่าอันตราย และตรวจดูค่าการทำงานของ LVAD จากจอ Controller (เช่น ค่า Flow และ Pulsatility Index ต่ำ)
ขั้นที่ 2: จัดการเมื่อ "การไหลเวียนเลือดบกพร่อง"
สิ่งที่ต้องทำ:
เริ่มกดหน้าอกคุณภาพสูงทันที
พร้อมกันนั้น ให้ผู้ช่วยเหลือคนที่สอง "ตรวจสอบอุปกรณ์ LVAD" แยกต่างหาก:
ฟังเสียงปั๊ม (ควรได้ยินเสียงฮัมเบาๆ) หากเงียบสนิทแปลว่าปั๊มหยุด
ดูข้อความแจ้งเตือนบนจอ Controller (เช่น "Low Flow", "High Power")
ตรวจสอบแหล่งพลังงาน: สายไฟต่อแน่นไหม? แบตเตอรี่เหลือไฟไหม? ลองเปลี่ยนแหล่งพลังงานดู
ตรวจสอบสาย Driveline ว่าต่อแน่นดี
ขั้นที่ 3: การช่วยชีวิตขั้นสูงและการส่งต่อ
ทำ CPR และ ACLS ต่อ: ปฏิบัติตามมาตรฐาน
ช็อกไฟฟ้าได้ตามปกติ: ผู้ป่วย LVAD สามารถช็อกไฟฟ้า (Defibrillation/Cardioversion) ได้ โดยใช้พลังงานมาตรฐาน ควรติดแผ่นช็อกในตำแหน่งหน้าหลัง (Anteroposterior) เพื่อหลีกเลี่ยงตัวเครื่องที่หน้าท้อง
ให้ยาตามโปรโตคอล: เช่น Epinephrine, Amiodarone
ติดต่อและส่งตัวไปยัง "ศูนย์ VAD" โดยเร็วที่สุด: นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะศูนย์เหล่านี้ความเชี่ยวชาญและเครื่องมือในการแก้ปัญหาเฉพาะทาง เช่น การเปลี่ยนปั๊ม หรือการผ่าตัดฉุกเฉิน
สรุปใจความสำคัญสำหรับทีมแพทย์ พยาบาล และหน่วยกู้ชีพ
1. อย่าตัดสินจากชีพจร: ใช้เกณฑ์ "ไม่ตอบสนอง + การไหลเวียนเลือดบกพร่อง" ในการวินิจฉัยภาวะหัวใจหยุดเต้น
2. อย่าลังเลที่จะกดหน้าอก: ข้อแนะนำใหม่ยืนยันว่า ประโยชน์ของการกดหน้าอกมีมากกว่าความเสี่ยง
3. ทำงานเป็นสองทีมคู่ขนาน: ทีมหนึ่งกดหน้าอกและทำ ALS, อีกทีมหนึ่งโฟกัสที่การแก้ปัญหา LVAD โดยเฉพาะ
4. ใช้เครื่องมือช่วยวินิจฉัย: ค่า EtCO2 และ ความดันจาก Doppler คือเพื่อนซี้ของคุณในสถานการณ์นี้
5. ช็อกไฟฟ้าได้ตามปกติ: อย่ากลัวที่จะใช้ AED หรือเครื่องช็อกไฟฟ้า
6. ส่งต่อให้เร็วที่สุด: การส่งผู้ป่วยถึงมือศูนย์ผู้เชี่ยวชาญคือการรักษาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy