แชร์

การช่วยเหลือผู้ป่วยชัก 2025?

42 ผู้เข้าชม
การช่วยเหลือผู้ป่วยชัก 2025?
จากการอัปเดตแนวทางการปฐมพยาบาลผู้มีอาการชักปี 2024 (2025 BLS Instructor Update) สามารถสรุปได้ดังนี้
สิ่งที่ต้องทำ (Do):
1. โทรเรียกรถพยาบาล (Activate EMS) ในกรณีต่อไปนี้:
ชักครั้งแรกในชีวิต
ชักนานกว่า 5 นาที
ชักหลายครั้งโดยระหว่างนั้นไม่รู้ตัวกลับมาเป็นปกติ
ชักในน้ำ
ชักร่วมกับการบาดเจ็บ หายใจลำบาก หรือสำลัก
ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนที่มีอาการชัก
ผู้ที่มีอาการชักซึ่งตั้งครรภ์
หลังจากหยุดชักแล้ว ไม่กลับมาสู่ภาวะปกติภายใน 5 - 10 นาที
2. ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ:
ช่วยคนนั้นนอนลงบนพื้น
จับท่านตะแคง (ท่าฟื้นตัว) เพื่อเปิดทางเดินหายใจ
เคลียร์พื้นที่รอบข้างให้ปลอดภัย
3. อยู่กับผู้มีอาการชักจนกว่าจะช่วยเหลือได้
สิ่งที่ห้ามทำ (Don't):
1. อย่าจับหรือรั้งผู้ป่วย ขณะกำลังชัก
2. อย่าใส่สิ่งของใดๆ เข้าไปในปาก ผู้ป่วย
3. อย่าให้อาหาร น้ำ หรือยาทาน ขณะชักหรือหลังชักแต่ยังไม่รู้ตัว
หมายเหตุเกี่ยวกับการชักจากไข้ในเด็ก:
การให้ยาลดไข้ (เช่น acetaminophen, ibuprofen, paracetamol) ไม่สามารถ หยุดการชักที่กำลังเกิดหรือป้องกันการชักครั้งต่อไปได้
เหตุผล: อาการชักเป็นภาวะที่พบบ่อย และแม้ว่าจะดูน่ากลัว แต่หลายครั้งก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ผู้ให้การปฐมพยาบาลสามารถช่วยเหลือได้โดยการปกป้องผู้ป่วยจากอันตรายและโทรเรียกรถพยาบาลในสถานการณ์ที่เหมาะสม
แน่นอนครับ นี่คือเหตุผลเชิงลึกทางการแพทย์เบื้องหลังคำแนะนำในการปฐมพยาบาลผู้มีอาการชักจากการอัปเดตนี้
1. เหตุผลที่ต้องโทรเรียกรถพยาบาลในกรณีที่ระบุ
การตัดสินใจเรียก EMS ไม่ได้เพียงเพราะ "อาการชัก" เท่านั้น แต่เป็นเพราะสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมี ภาวะฉุกเฉนทางการแพทย์ที่ซ่อนอยู่ หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง:
ชักครั้งแรก / ไม่รู้สาเหตุ: อาการชักอาจเป็นอาการแสดงของโรคที่อันตราย เช่น
เลือดออกในสมอง (Stroke หรือ Hemorrhage)
ก้อนเนื้อในสมอง (Brain Tumor)
การติดเชื้อในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง (Encephalitis หรือ Meningitis)
ภาวะ (Electrolyte Imbalance) รุนแรง เช่น โซเดียมต่ำมาก การตรวจหาสาเหตุเหล่านี้ต้องทำในโรงพยาบาล
ชักนานกว่า 5 นาที หรือชักซ้อน (Status Epilepticus): นี่คือภาวะฉุกเฉนทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
กลไก: สมองอยู่ในสถานะ "ติดไฟ" ต่อเนื่องไม่หยุด ซึ่งทำให้เซลล์สมองเสียหายถาวรจากการขาดพลังงานและความเสียหายจากกระแสประสาทที่มากเกินไป (Excitotoxicity)
ความเสี่ยง: ทำให้หายใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดปกติ และเสียชีวิตได้ การหยุดชักมักต้องใช้ยาชักฉีดเท่านั้น
ไม่กลับสู่สภาวะพื้นฐานภายใน 5-10 นาที (Postictal State ที่ยืดเยื้อ): หลังชัก (Postictal period) ผู้ป่วย通常会สับสนและง่วง ซึ่งเป็นปกติ แต่หากนานผิดปกติ อาจบ่งชี้ว่าสมองไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ หรืออาจยังมีการชักระดับย่อยๆ ต่อเนื่องอยู่ (Non-convulsive Status Epilepticus)
ชักในน้ำ: เสี่ยงต่อ การสำลักน้ำ (Aspiration) และ ภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxia) สูงมาก
ผู้ตั้งครรภ์: อาการชักอาจเป็นสัญญาณของ ครรภ์เป็นพิษ (Eclampsia) ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์
2. เหตุผลเชิงสรีรวิทยา behind สิ่งที่ต้องทำและห้ามทำ
จับนอนตะแคง (Recovery Position):
กลไก: ในระหว่างและหลังชัก ร่างกายอาจคลายตัวชั่วคราว ทำให้กล้ามเนื้อลิ้นและคอหอยหย่อนตัว ลิ้นอาจตกไปปิดทางเดินหายใจ หรือมีการ หลั่งน้ำลายและอาเจียนออกมาได้
ประโยชน์: ท่าตะแคงช่วยป้องกันการ อุดกั้นทางเดินหายใจจากลิ้น และช่วยให้ของเหลวในปาก (เช่น น้ำลาย/อาเจียน) ไหลออกมาเอง ลดความเสี่ยงการสำลัก (Aspiration Pneumonia) อย่างมาก
ห้ามใส่อะไรเข้าไปในปาก:
ความเสี่ยง: ข้อห้ามนี้มีเหตุผลจากความปลอดภัยล้วนๆ
เสี่ยงต่อการแตกหักของฟันและกระดูกขากรรไกร
สิ่งของนั้นอาจหลุดเข้าไปในทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอุดตันและขาดอากาศหายใจ ซึ่งอันตรายกว่าอาการชักเองหลายเท่า
อาจกระตุ้นให้อาเจียน และเพิ่มโอกาสสำลัก
ข้อเท็จจริง: คนที่ชัก จะไม่กลืนลิ้นตัวเองได้ เนื่องจากมีเยื่อแขวนลิ้น (Frenulum) ยึดลิ้นไว้อยู่แล้ว
ห้ามจับหรือรั้งตัว:
กลไก: การบังคับยึดรั้งตัวผู้ป่วยที่กำลังเกร็งและกระตุกอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิด การบาดเจ็บทางออร์โธปิดิกส์ ได้ เช่น กระดูกหัก ข้อหลุด หรือกล้ามเนื้อฉีกขาด
ห้ามให้อาหาร/น้ำ/ยา:
กลไก: หลังชักใหม่ๆ ระดับการรู้สึกตัวยังต่ำ (Depressed consciousness) และรีเฟล็กซ์การกลืน (Gag Reflex) ยังทำงานไม่ปกติ การให้สิ่งใดๆ ทางปากจะ เพิ่มความเสี่ยงการสำลักเข้าปอดอย่างรุนแรง
3. เหตุผลที่ยาลดไข้ไม่ป้องกันการชักจากไข้
กลไกการเกิด: การชักจากไข้ไม่ได้เกิดจาก "ระดับอุณหภูมิที่สูงมาก" โดยตรง แต่เกิดจาก สมองของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ตอบสนองต่อการที่อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงขึ้นเร็ว ทำให้เกิดการ "ติดไฟ" ของเซลล์ประสาทอย่างกว้างขวาง
เหตุผลทางการแพทย์: การให้ยาลดไข้ หลังจากที่ไข้ขึ้นแล้ว ไม่สามารถยับยั้งกลไกทางไฟฟ้านี้ในสมองได้ และไม่มีผลป้องกันการชักครั้งต่อไป เนื่องจากมันไม่ได้แก้ไขที่ "ความไว" ของสมองเด็กต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
จุดประสงค์ของยาลดไข้: คือเพื่อให้เด็ก รู้สึกสบายตัวขึ้น เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อป้องกันการชัก
สรุปเชิงลึก: แนวทางการปฐมพยาบาลทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาโดยอิงตาม สรีรวิทยาของการชักและความปลอดภัยสูงสุด เป้าหมายหลักไม่ใช่ "การหยุดชัก" (ซึ่งผู้ช่วยเหลือทั่วไปทำไม่ได้) แต่คือ "การปกป้องผู้ป่วยจากอันตรายระหว่างที่สมองกำลังทำงานผิดปกติชั่วคราว และการส่งต่อให้การแพทย์ทันทีในกรณีที่สมองไม่สามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง"

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy