แชร์

การทุบหลังทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดจากการสำลักได้อย่างไร?

119 ผู้เข้าชม
การทุบหลังทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดจากการสำลักได้อย่างไร?
การทุบหลัง (Back blows) เป็นเทคนิคปฐมพยาบาลพื้นฐานที่ใช้ช่วยเหลือผู้ที่มีสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจจากการสำลัก 
กลไกการทำงาน:
1. สร้างแรงดันและกระแสอากาศ:
· การทุบแรงๆ ระหว่างสะบักทั้งสองข้างจะสร้าง แรงสั่นสะเทือน และ เพิ่มแรงดันในช่องทรวงอก ชั่วคราว
· แรงดันนี้จะดันให้อากาศในปอดพัดขึ้นมาด้านบน เหมือนเวลาเราเป่าลมแรงๆ
2. ใช้หลักการไอเทียม:
· การทุบหลังการไออย่างรุนแรง
· สร้างแรงลมดันให้สิ่งกีดขวางถูกผลักออกจากทางเดินหายใจ
3. การเคลื่อนที่ของไดอะแฟรม:
· แรงกระแทกจากการทุบส่งผลให้ ไดอะแฟรมเคลื่อนตัวขึ้นกะทันหัน
· ทำให้ปริมาตรในปอดลดลงอย่างรวดเร็ว และดันให้อากาศพร้อมกับสิ่งกีดขวางถูกขับออก
เทคนิคการทุบหลังที่ถูกต้อง:
สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต:
1. ยืนด้านหลังผู้ป่วย โน้มตัวผู้ป่วยไปด้านหน้าเล็กน้อย
2. วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอกผู้ป่วยเพื่อประคอง
3. ใช้สันมือของอีกข้างทุบแรงๆ ระหว่างสะบักทั้งสองข้าง 5 ครั้ง
4. ทุบในแนวจากด้านหลังไปด้านหน้าและขึ้นด้านบน
สำหรับทารก:
1. วางทารกนอนคว่ำบนแขนของคุณ โดยศีรษะต่ำกว่าลำตัว
2. ใช้สันมือทุบเบาๆ ระหว่างสะบัก 5 ครั้ง
ข้อควรระวัง:
· ️ ต้องโน้มตัวผู้ป่วยไปด้านหน้า เพื่อให้สิ่งกีดขวางถูกขับออกทางปาก ไม่ใช่ดันลงไปลึกกว่า
· ️ ใช้แรงที่เหมาะสม ไม่แรงเกินไปจนทำให้เกิดการบาดเจ็บ
· ️ หากทุบหลัง 5 ครั้งไม่ได้ผล ให้สลับกับ การกดท้อง (Heimlich maneuver)
ขออธิบายผลสัมฤทธิ์ทางการแพทย์ของการช่วยชีวิตเมื่ออาหารติดคอโดยละเอียด:
1. กลไกทางชีวฟิสิกส์ของการทุบหลัง
การสร้างแรงดันภายในทางเดินหายใจ:
· แรงกระแทกที่สันมือบริเวณระหว่างสะบัก (T1-T6) ส่งผลให้:
· สร้างความเร่ง 50-100 m/s² ในเนื้อปอด
· เพิ่มแรงดันภายในทรวงอก 40-60 cmHO ชั่วคราว
· สร้าง peak expiratory flow 300-400 L/min (เทียบกับการไอปกติ 100-200 L/min)
การเปลี่ยนแปลงทางกลศาสตร์ของระบบหายใจ:
· ทำให้ไดอะแฟรมเคลื่อนขึ้นกะทันหัน 2-3 cm
· ลดปริมาตรปอด 0.3-0.5 ลิตร ใน 0.2-0.3 วินาที
· สร้างความเร็วอากาศในหลอดลม 5-8 m/s
2. พลศาสตร์ของไหลในทางเดินหายใจ
การเคลื่อนที่ของสิ่งกีดขวาง:
· แรงลมที่เกิดจากการทุบหลังสามารถสร้าง:
· แรงยก (Lift force) 0.5-2.0 N บนสิ่งกีดขวาง
· แรงลาก (Drag force) 1.5-3.0 N
· ความเร่งของสิ่งกีดขวาง 10-30 m/s²
ประสิทธิภาพการกำจัด:
· สำหรับสิ่งกีดขวางขนาด 1-3 cm³:
· อัตราความสำเร็จ 65-75% ในการเคลื่อนย้ายสู่คอหอย
· ใช้เวลา 0.5-1.5 วินาที หลังได้รับการทุบ
3. ผลทางสรีรวิทยาของการกดท้อง (Heimlich)
กลไกการทำงาน:
· การกดใต้ลิ้นปี่ขึ้นด้านบน 45°:
· ลดปริมาตรปอด 0.5-0.8 ลิตร
· เพิ่มแรงดันภายในปอด 60-100 cmHO
· สร้างความเร็วอากาศ 8-12 m/s ในหลอดลมใหญ่
การตอบสนองของระบบประสาท:
· กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve)
· ยับยั้งการหายใจชั่วคราว 1-2 วินาที
· กระตุ้นศูนย์การไอในก้านสมอง
4. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ทางการแพทย์
ประสิทธิภาพโดยรวม:
· การทุบหลังเพียงอย่างเดียว:
· อัตราความสำเร็จ 45-55% สำหรับการกำจัดบางส่วน
· อัตราความสำเร็จ 25-35% สำหรับการกำจัดสมบูรณ์
· การทุบหลังร่วมกับการกดท้อง:
· อัตราความสำเร็จ 75-85% โดยรวม
· ลดการขาดออกซิเจนได้ 60-70%
ผลต่อระบบออกซิเจนในเลือด:
· ก่อนช่วยเหลือ: SaO มักต่ำกว่า 80%
· หลังช่วยเหลือสำเร็จ: SaO กลับสู่ 92%+ ภายใน 2-3 นาที
· ป้องกันภาวะสมองขาดออกซิเจนได้หากช่วยเหลือภายใน 4 นาที
5. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
จากการทุบหลัง:
· รอยฟกช้ำบริเวณหลัง 15-20%
· กระดูกซี่โครงร้าว 2-3% (ในผู้สูงอายุ)
จากการกดท้อง:
· กระดูกซี่โครงร้าว 5-10%
· การบาดเจ็บของตับหรือม้าม 1-2%
· อาหาร regurgitation 20-30%
6. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
ปัจจัยด้านผู้ป่วย:
· อายุและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ
· ขนาดและตำแหน่งของสิ่งกีดขวาง
· ระยะเวลาที่ขาดออกซิเจนก่อนช่วยเหลือ
ปัจจัยด้านเทคนิค:
· แรงและทิศทางที่เหมาะสม
· ความเร็วในการให้ความช่วยเหลือ
· การประสานงานระหว่างทุบหลังและกดท้อง
การเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy