แชร์

การเป่าปากช่วยให้ออกซิเจนได้จริงเหรอ?

9 ผู้เข้าชม
การเป่าปาก ช่วยให้ออกซิเจนได้จริงๆเหรอ?
ในอากาศปกติที่เราหายใจเข้า:
· อากาศมีออกซิเจนประมาณ 21%
· ไนโตรเจนประมาณ 78%
· ก๊าซอื่นๆ อีก 1%
เมื่อเราเป่าปากให้ผู้ป่วย:
· ลมที่เราเป่าออกมาจะมีออกซิเจนประมาณ 16-17%
· เพราะร่างกายเราได้ใช้ออกซิเจนไปบางส่วนแล้ว
ทำไมออกซิเจนเพียง 16-17% ยังช่วยชีวิตได้?
· ปกติร่างกายเราต้องการออกซิเจนอย่างน้อย 16% ในการรักษาชีวิต
· ออกซิเจน 16% นี้ยังสูงกว่าความต้องการขั้นต่ำของร่างกาย
· การเป่าปากช่วยให้ผู้ป่วยได้ออกซิเจนที่เพียงพอเพื่อรอความช่วยเหลือทางการแพทย์
สิ่งสำคัญในการเป่าปาก:
1. ต้องทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
2. เป่าลมให้หน้าอกผู้ป่วยยกขึ้น
3. เป่าปากพร้อมกับการกดหน้าอก (ในกรณี CPR)
แม้ออกซิเจนจะไม่สูงเท่าอากาศที่หายใจเข้า แต่การเป่าปากก็ช่วยรักษาชีวิตได้จนกว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์จะมาถึง
ขออธิบายเหตุผลเชิงลึกทางการแพทย์เกี่ยวกับการเป่าปาก (Rescue Breathing) ครับ
1. กายวิภาคศาสตร์ของระบบหายใจและก๊าซแลกเปลี่ยน
Alveolar Gas Equation:
PAO = FiO × (Patm - PHO) - PaCO / RQ
· PAO = ความดันย่อยของออกซิเจนใน alveoli
· FiO = เศษส่วนของออกซิเจนในอากาศที่หายใจเข้า (0.21 ในอากาศปกติ)
· Patm = ความดันบรรยากาศ (760 mmHg ที่ระดับน้ำทะเล)
· PHO = ความดันไอน้ำ (47 mmHg)
· RQ = Respiratory Quotient (ประมาณ 0.8)
เมื่อคำนวณ:
อากาศที่หายใจเข้า:PAO = 0.21 × (760 - 47) - 40/0.8 100 mmHg
อากาศที่เป่าออก:PAO = 0.17 × (760 - 47) - 40/0.8 80 mmHg
2. ชีววิทยาระดับเซลล์และเมแทบอลิซึม
Mitochondrial Physiology:
· ความดันย่อยของออกซิเจนเพียง 20-30 mmHg ก็เพียงพอสำหรับการ phosphorylation ในไมโตคอนเดรีย
· Cytochrome c oxidase มี affinity สูงกับออกซิเจน (Km ต่ำ)
· การเป่าปากให้ออกซิเจน 80 mmHg ใน alveoli 40 mmHg ในเลือด 20 mmHg ในเนื้อเยื่อ ยังสูงกว่าความต้องการขั้นต่ำ
3. กลไกการปรับตัวของร่างกาย
Hemoglobin-Oxygen Dissociation Curve:
· ที่ PaO 80 mmHg, Hemoglobin อิ่มตัวด้วยออกซิเจนประมาณ 95%
· Compare กับ PaO 100 mmHg ที่ให้ saturation 98% - ผลต่างเพียง 3%
Compensatory Mechanisms:
1. Increased cardiac output
2. Redistribution of blood flow
3. Increased oxygen extraction ratio
4. พิษวิทยาของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สำคัญ: การเป่าปากช่วยขับ CO ออกด้วย
· อากาศที่เป่าออกมี CO ประมาณ 4% (PaCO 28 mmHg)
· ช่วยป้องกัน respiratory acidosis
· รักษา pH ของเลือดให้อยู่ภายในช่วง 7.35-7.45
5. กลไกการป้องกันของปอด
Surfactant Preservation:
· การขยายตัวของปอดอย่างสม่ำเสมอช่วยรักษา surfactant function
· ป้องกัน atelectasis และ ventilation-perfusion mismatch
6. Clinical Evidence จากการศึกษา
ข้อมูลจากการวิจัย:
· การศึกษาในสัตว์ทดลองแสดงว่า oxygenation ด้วย FiO 0.17 เพียงพอรักษาระบบ metabolism เบื้องต้น
· ในมนุษย์ การช่วยหายใจด้วย mouth-to-mouth สามารถรักษา SaO > 90% ได้ใน大多數กรณี
7. เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น
ข้อได้เปรียบของการเป่าปาก:
· ได้รับความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม
· มี positive end-expiratory pressure (PEEP) โดยธรรมชาติ
· ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
สรุปทางการแพทย์: แม้ออกซิเจนเพียง 16-17% ดูเหมือนน้อย แต่ด้วยกลไกทางสรีรวิทยาที่ซับซ้อนของร่างกาย ทำให้เพียงพอสำหรับการรักษาชีวิตในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบครับ
คำถามนี้เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากในวงการแพทย์ครับ ขออธิบายอย่างละเอียด:
หลักฐานวิทยาศาสตร์ล่าสุดเกี่ยวกับการเป่าปากในขณะ CPR
1. แนวทางการช่วยชีวิตจาก AHA 2020
· สำหรับผู้ให้ช่วยชีวิตทั่วไป (lay rescuer):
แนะนำให้ทำ Hands-Only CPR (กดหน้าอกอย่างเดียว)
ไม่ต้องเป่าปาก
· สำหรับผู้ให้ช่วยชีวิตระดับ professional:
ยังแนะนำให้ทำทั้งกดหน้าอกและเป่าปาก
อัตราส่วน 30:2
2. สรีรวิทยา behind Hands-Only CPR
เหตุผลที่กดหน้าอกอย่างเดียวอาจเพียงพอ:
· ในช่วงนาทีแรกหลัง cardiac arrest, ยังมีออกซิเจนเหลือในเลือดและปอด
· การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพสามารถส่งเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้
· Minute Ventilation ที่ต้องการลดลง เนื่องจากไม่มีเลือดไหลผ่านปอด (no blood flow = no gas exchange)
3. ข้อดีของการไม่เป่าปาก (Hands-Only)
· ลดการหยุดกดหน้าอก (minimize interruptions)
· ลดความกังวลเรื่องการติดเชื้อ
· ทำให้ยอมทำ CPR
4. สถานการณ์ที่ยังจำเป็นต้องเป่าปาก
กรณีที่การเป่าปากยังสำคัญ:
· เด็ก (ส่วนใหญ่เกิดจาก respiratory cause)
· Drowning
· Drug overdose
· Airway obstruction
· ** prolonged arrest (>10 minutes)**
5. ข้อมูลจากการศึกษา
Clinical Trials:
· Study from Japan: No significant difference in survival between chest compression-only and conventional CPR
· Meta-analysis 2017: Compression-only มี outcomes ที่ไม่ inferior ในผู้ใหญ่จาก cardiac cause
6. ปริมาณการแลกเปลี่ยนก๊าซในระหว่าง CPR
การคำนวณทางสรีรวิทยา:
· Cardiac output ระหว่าง CPR 25-30% ของปกติ
· Oxygen demand ลดลง due to hypothermia และ reduced metabolism
· การเป่าปาก 2 ครั้งหลังกดหน้าอก 30 ครั้ง ให้ประมาณ 400-600 mL ของอากาศ เพียงพอสำหรับ metabolic demand ที่ลดลง
7. คำแนะนำเชิงปฏิบัติ
สำหรับประชาชนทั่วไป:
· ถ้าไม่มั่นใจหรือไม่สบายใจที่จะเป่าปาก ทำเฉพาะกดหน้าอกอย่างเดียว
· กดหน้าอกให้ลึกและเร็ว (100-120 ครั้ง/นาที)
· ไม่หยุดกด
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์:
· ยังคงทำทั้งกดหน้าอกและเป่าปาก
· ใช้ advanced airway ถ้าเป็นไปได้
8. สรุปตามหลักฐานปัจจุบัน
· ในผู้ใหญ่ที่เกิดจาก cardiac cause: Hands-Only CPR เพียงพอและได้ผลไม่แตกต่าง
· ในเด็กหรือกรณีขาดออกซิเจน: ยังจำเป็นต้องเป่าปาก
· สิ่งที่สำคัญที่สุด: การกดหน้าอกที่มีประสิทธิภาพและไม่หยุดกด
Bottom line: สำหรับประชาชนทั่วไปที่เห็นผู้ใหญ่ล้มหมดสติกะทันหัน การกดหน้าอกอย่างเดียวก็เพียงพอและแนะนำให้ทำครับ!

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy