แชร์

ทารกสำลักช่วยอย่างไรให้ปลอดภัย?

29 ผู้เข้าชม
ทารกสำลักช่วยอย่างไรให้ปลอดภัย?
สรุปอัลกอริทึมการช่วยชีวิตทารกที่สำลักสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจ (Foreign-Body Airway Obstruction - FBAO) จาก American Heart Association และ American Academy of Pediatrics:
ขั้นตอนหลัก:
1. ประเมินความปลอดภัยของสถานที่ ก่อนเข้าไปช่วยเหลือเสมอ
2. ประเมินอาการ:
หากทารกยังไอได้ มีเสียงไอดังๆ และหายใจได้: ส่งเสริมให้ไอ และคอยประเมินอาการต่อไปว่ามีสัญญาณของอาการรุนแรงหรือไม่
หากมีสัญญาณของการอุดตันรุนแรง (Severe FBAO) ดังนี้:
ไอไม่มีแรงหรือไอไม่ได้
ร้องไห้ไม่มีเสียง
เปลี่ยนสีผิว (ตัวเขียว)
ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
หายใจไม่ออก
3. หากมีอาการรุนแรง:
เรียกทีมแพทย์ฉุกเฉิน (Activate emergency response system) ทันที
เริ่มทำการช่วยเหลือเป็นรอบๆ โดยสลับระหว่าง:
ตบหลัง 5 ครั้ง
กดทรวงอก 5 ครั้ง
ทำซ้ำจนกว่าสิ่งกีดขวางจะหลุดออกมาหรือทารกไม่ตอบสนอง
4. หากสิ่งกีดขวางหลุดออกมา: คอยสังเกตอาการจนกว่าทีมแพทย์มาถึง
5. หากทารกไม่ตอบสนอง:
เริ่มทำ CPR ทันที (อ้างอิงตามอัลกอริทึมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในเด็ก)
เริ่มด้วยการกดหน้าอก
ตรวจดูว่ามีสิ่งกีดขวางในปากให้เห็นชัดเจนหรือไม่ ก่อนที่จะเป่าลม
ทำ CPR ต่อไปจนกว่าทีมแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง
ประเด็นสำคัญที่อัปเดตในปี 2025:
ไม่ใช้การกดท้องในทารก เนื่องจากเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของอวัยวะในช่องท้อง
แนะนำให้ใช้ส้นมือข้างเดียวในการกดทรวงอก สำหรับทารกที่สำลักรุนแรง
แม้ท่าทางจะคล้ายการกดหน้าอกในการทำ CPR แต่ไม่เน้นรายละเอียดอื่นๆ (เช่น อัตราความเร็ว การคลายตัว) ดังนั้นจึงใช้คำว่า "chest thrusts" (การกดทรวงอก) ไม่ใช่ "chest compressions" (การกดหน้าอกในการ CPR)
ควรเรียกทีมแพทย์ฉุกเฉินทันทีที่พบว่าทารกหรือเด็กมีอาการอุดตันรุนแรง เพราะอาการอาจแย่ลงเร็วจนหัวใจหยุดเต้นได้
แน่นอนครับ นี่คือเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังขั้นตอนและคำแนะนำในอัลกอริทึมการช่วยชีวิตทารกสำลัก สรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้:
1. ทำไมต้อง "ส่งเสริมให้ไอ" ก่อน?
เหตุผล: การไอเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่ทรงพลังที่สุดในการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจ
หลักการ: หากทารกยังไอได้เสียงดังและหายใจได้ แสดงว่าการอุดตันยังไม่สมบูรณ์ และทางเดินหายใจยังเปิดพอที่ร่างกายจะพยายามขับสิ่งกีดขวางออกมาได้เอง การเข้าไปแทรกแซงในขณะนี้อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้ (เช่น ทำให้สิ่งกีดขวางเคลื่อนไปอุดตันที่แคบลง)
2. ทำไมต้อง "เรียกทีมแพทย์ฉุกเฉิน" ทันทีเมื่อมีอาการรุนแรง?
เหตุผล: เพราะสถานการณ์อาจแย่ลงอย่างรวดเร็ว เสมอ
หลักการ: ผู้ช่วยเหลืออาจไม่สามารถขับสิ่งกีดขวางออกได้สำเร็จ และทารกอาจกลายเป็นไม่ตอบสนองและหัวใจหยุดเต้น ได้ในเวลาอันสั้น การเรียกความช่วยเหลือทางการแพทย์ไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้ทีมแพทย์หรือหน่วยกู้ชีพมาถึงได้ทันเวลา เพื่อให้การช่วยชีวิตขั้นสูงต่อไป
3. ทำไมทารกต้องใช้ "ตบหลัง" และ "กดทรวงอก" แทน "การกดท้อง" (Heimlich Maneuver)?
เหตุผล: เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บต่ออวัยวะในช่องท้อง ของทารก
หลักการ:
อวัยวะในช่องท้องของทารก (เช่น ตับ ม้าม) ยังบอบบางและอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหากใช้แรงกดที่หน้าท้อง
การตบหลังใช้แรงโน้มถ่วงและการสั่นสะเทือนเพื่อทำให้สิ่งกีดขวางหลุดออก
การกดทรวงอก (ในทารกจะกดต่ำกว่าลานนมเล็กน้อย) มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการกดท้อง เพราะสามารถเพิ่มความดันในช่องทรวงอกได้ดีพอๆ กันเพื่อดันสิ่งกีดขวางออกมา โดยมีความปลอดภัยมากกว่า
4. ทำไมต้องสลับระหว่าง "5 ตบหลัง" และ "5 กดทรวงอก"?
เหตุผล: เพื่อโจมตีสิ่งกีดขวางด้วยสองกลไกที่แตกต่างกัน และเพิ่มโอกาสในการขับออก
หลักการ: แต่ละวิธีสร้างแรงและทิศทางที่ต่างกัน
ตบหลัง: สร้างการสั่นและแรงในทิศทางขึ้นด้านบน
กดทรวงอก: สร้างแรงดันให้อากาศจากปอดดันสิ่งกีดขวางออกมา (คล้ายกับการกดท้องแต่ปลอดภัยกว่า)
การสลับกันนี้สร้าง "คลื่น" ของแรงที่แตกต่างกันเพื่อช่วยให้สิ่งกีดขวางเคลื่อนที่
5. ทำไมเมื่อทารก "ไม่ตอบสนอง" ถึงต้องเปลี่ยนไปทำ "CPR" ทันที?
เหตุผล: เพราะเมื่อทารกไม่ตอบสนอง สิ่งกีดขวางอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น ได้
หลักการ: เป้าหมายเปลี่ยนจากการ "ขับสิ่งกีดขวาง" เป็นการ "ช่วยชีวิตโดยการส่งเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญ"
การกดหน้าอกใน CPR ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและหัวใจ
การเป่าลมระหว่างทำ CPR อาจสามารถเลื่อนสิ่งกีดขวางให้ผ่านไปได้ หรือไม่ก็อาจพอมีอากาศบางส่วนเล็ดลอดผ่านลงไปได้
6. ทำไมต้อง "ตรวจดูในปาก" ก่อนเป่าลมขณะทำ CPR?
เหตุผล: เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
หลักการ:
หากเห็นสิ่งกีดขวางชัดเจนและสามารถงัดออกได้ด้วยนิ้ว: การเอามันออกไปจะทำให้ทางเดินหายใจโล่งและเพิ่มโอกาสที่การเป่าลมจะสำเร็จ
หากไม่เห็นหรือไม่แน่ใจ: ห้ามล้วง เพราะอาจดันสิ่งกีดขวางให้ลงไปลึกและอุดตันมากขึ้นได้ ให้ทำการกดหน้าอกและเป่าลมตามขั้นตอน CPR ไปเลย
สรุปเหตุผลโดยรวม: อัลกอริทึมนี้ถูกออกแบบมาโดยอิงบนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อ "ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับความปลอดภัยสูงสุดสำหรับทารก" โดยคำนึงถึงสรีรวิทยาที่บอบบางของทารกและพลวัตของสถานการณ์ฉุกเฉินที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy