ทีมช่วยฟื้นคืนชีพนอกโรงพยาบาล ควรเป็นอย่างไรในปี 2025
31 ผู้เข้าชม

ทีมช่วยฟื้นคืนชีพนอกโรงพยาบาล ควรเป็นอย่างไรในปี 2025
สรุปข้อกำหนดใหม่สำหรับปี 2025 เกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพนอกโรงพยาบาล (OHCA)
สรุปได้เป็น 2 ประเด็นหลักดังนี้:
1. การยุติการช่วยฟื้นคืนชีพที่สถานที่เกิดเหตุ (Termination of Resuscitation)
สิ่งที่ต้องทำ: ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ต้องเตรียมพร้อมที่จะยุติการช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุ แทนที่จะนำส่งโรงพยาบาลในทุกกรณี
การฝึกอบรม: เจ้าหน้าที่ EMS ต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับ "การแจ้งข่าวเศร้า" (Death Notification) อย่างเหมาะสม
2. การให้ความสำคัญกับการช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุ (Prioritizing On-scene Resuscitation)
แนวทางใหม่: สำหรับผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล (ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก) ควรมุ่งเน้นการช่วยฟื้นคืนชีพให้ได้ "การกลับมาของการเต้นของหัวใจอย่างยั่งยืน (Sustained ROSC)" ให้ได้ที่จุดเกิดเหตุ ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ข้อยกเว้น: การเคลื่อนย้ายระหว่างทำ CPR ควรสงวนไว้สำหรับกรณีพิเศษเท่านั้น ที่เชื่อว่าการไปโรงพยาบาลจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
เหตุผลและประโยชน์ (Why)
ลดการเคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น: การพยายามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างที่กำลังทำ CPR อยู่จะทำให้ คุณภาพของการกู้ชีพลดลง และอาจ สร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ บนรถพยาบาล
การดูแลอย่างมีมนุษยธรรม: การอยู่ช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุจนจบกระบวนการจะทำให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็นจำนวนมาก การฝึกอบรมให้รู้จัก "เมื่อไรควรยุติ" และ "วิธีแจ้งข่าวเศร้า" อย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ:
ให้การดูแลครอบครัวอย่างเห็นอกเห็นใจ
ป้องกันการหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ของเจ้าหน้าที่ EMS
1. การยุติการช่วยฟื้นคืนชีพบนสถานที่ (Termination of Resuscitation - TOR)
แนวทางนี้ไม่ใช่การ "ยอมแพ้" แต่เป็นการ "เปลี่ยนเป้าหมายของการรักษา" จากผู้ป่วยที่อาจไม่มีโอกาสรอด ไปสู่การดูแลครอบครัวและใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
เกณฑ์ในการพิจารณายุติ (โดยทั่วไป):
เกณฑ์เหล่านี้มักใช้ร่วมกันและต้องไม่มีข้อยกเว้น (เช่น อุณหภูมิร่างกายต่ำมาก จมน้ำ ไฟฟ้าช็อต ถูกพิษ)
ไม่ได้รับการเห็นเหตุการณ์ (Unwitnessed Arrest): ไม่มีใครเห็นตอนที่ผู้ป่วยหมดสติ
ไม่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ควรช็อค (Non-Shockable Rhythm): เมื่อติดเครื่อง AED/EKG แล้วพบว่าหัวใจไม่ใช่รูปแบบ Ventricular Fibrillation (VF) หรือ Pulseless Ventricular Tachycardia (VT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตอบสนองต่อการช็อคไฟฟ้าดีที่สุด
ไม่มีการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น (No Bystander CPR): ไม่มีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ช่วยทำ CPR ตั้งแต่แรก
หากตรงตามเกณฑ์เหล่านี้ทั้งหมด โอกาสรอดชีวิตมีต่ำมาก (มักต่ำกว่า 1%) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจึงให้ประโยชน์น้อยมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
รายละเอียดเชิงลึกของการแจ้งข่าวเศร้า (Death Notification):
นี่คือหัวใจของแนวทางใหม่ ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ต้องทำด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่ง
สภาพแวดล้อมและภาษากาย:
สถานที่: พาผู้ครอบครัวไปยังพื้นที่ที่สงบและเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะอนุญาต
ท่าทาง: นั่งระดับเดียวกับครอบครัว สบตา พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่มั่นคง หลีกเลี่ยงภาษาทางเทคนิค
โครงสร้างการสื่อสาร (Step-by-Step):
เตรียมความพร้อม: ตรวจสอบว่าคุณพูดกับผู้ตัดสินใจหลักของครอบครัว เรียกชื่อผู้ป่วยให้ถูกต้อง
เริ่มบทสนทนา: "ขออนุญาตคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ/คะ" และนำพวกเขาไปยังพื้นที่ส่วนตัว
แจ้งข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาแต่เห็นอกเห็นใจ: ใช้ภาษาที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงคำกำกวม
ตัวอย่าง: "ผม/ดิฉันต้องแจ้งข่าวร้ายให้ทราบ เราทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยชีวิต [ชื่อผู้ป่วย] แล้ว แต่หัวใจของท่านไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั้งหมดของเรา และเราไม่สามารถทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้อีกครั้ง ท่านได้จากเราไปแล้ว"
หลีกเลี่ยง: "เราเสียท่านไปแล้ว", "ท่านได้ไปสู่สุขติแล้ว" (ให้ใช้คำว่า "เสียชีวิต" หรือ "จากไป" ที่ชัดเจน)
แสดงความเห็นอกเห็นใจ: "ผม/ดิฉันรู้ว่าข่าวนี้เป็นข่าวที่รับได้ยากมาก และผม/ดิฉันรู้สึกเสียใจกับคุณ/ครอบครัวของคุณอย่างสุดซึ้ง"
ตอบคำถามและอธิบายสั้นๆ: อธิบายว่าทีมทำอะไรไปบ้างอย่างย่อๆ และย้ำว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในช่วงสุดท้าย
เสนอการสนับสนุน: "มีใครที่คุณอยากให้ผมโทรหาให้ไหมครับ? เช่น ญาติ คนใกล้ชิด หรือพระ?"
จัดการกับขั้นตอนต่อไป: อธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนทางกฎหมาย เช่น การแจ้งตำรวจ และการเคลื่อนย้ายศพไปยังโรงพยาบาลหรือสถาบันนิติเวช
ประโยชน์ของการทำ TOR บน scene:
สำหรับครอบครัว: ได้รับข่าวเศร้าในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และได้รับการดูแลจาก EMS โดยตรง ซึ่งให้ความรู้สึกว่าทุกอย่างจบลงอย่างเหมาะสม
สำหรับเจ้าหน้าที่ EMS: ได้ปิดเคสอย่างสมบูรณ์ ช่วยลดความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่เกิดจากการ "วิ่งรถพยาบาลเปล่า" ไปส่งผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้วที่ห้องฉุกเฉิน
สำหรับระบบ: ทรัพยากร (รถ, เจ้าหน้าที่) ไม่ถูกกักอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน และสามารถพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินรายต่อไปได้เร็วขึ้น
2. การช่วยฟื้นคืนชีพบนสถานที่จนกว่าจะได้ Sustained ROSC
เหตุผลทางสรีรวิทยาและความปลอดภัย:
คุณภาพของ CPR ที่ลดลง: การทำ CPR บนรถพยาบาลที่กำลังเคลื่อนที่นั้นทำได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพ
การกดหน้าอก: ความลึกและอัตราการกดจะไม่สม่ำเสมอเนื่องจากการเหวี่ยงของรถ
การหยุดชะงัก: มีการหยุดทำ CPR บ่อยครั้งระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากพื้นขึ้น stretcher และจาก stretcher เข้าโรงพยาบาล
ความเสี่ยงต่อความปลอดภัย:
ต่อเจ้าหน้าที่: เจ้าหน้าที่ที่ยืนทำ CPR ในรถพยาบาลที่วิ่งอยู่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน
ต่อผู้ป่วย: การใส่ท่อช่วยหายใจ (Advanced Airway) หรือการเจาะเส้นเลือด (IV Access) ทำได้ยากและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเมื่อรถเคลื่อนที่
"Sustained ROSC" คืออะไร?
หมายถึง การที่หัวใจกลับมาเต้นได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง (มีชีพจรและความดันเลือด) และสามารถ รักษาสภาพนี้ไว้ได้อย่างน้อย 20 นาที โดยไม่หยุดเต้นอีก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีโอกาสที่จะรอดชีวิตสูงพอที่จะคุ้มค่ากับการเคลื่อนย้าย
ข้อยกเว้น (Special Circumstances) ที่อาจพิจารณาเคลื่อนย้ายระหว่างทำ CPR:
สาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ (Reversible Causes) ซึ่งต้องทำในโรงพยาบาลเท่านั้น:
ภาวะหัวใจถูกกด (Cardiac Tamponade): ต้องได้รับการเจาะระบาย
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Massive Pulmonary Embolism): อาจต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดเฉพาะที่หรือผ่าตัด
ภาวะ Hypothermia รุนแรง: ต้องใช้เครื่อง Heart-Lung Bypass (ECMO) เพื่อทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาบน scene เป็นอย่างดี: เช่น กลับมามีชีพจรชั่วคราว (Transient ROSC) บ่งชี้ว่าหัวใจอาจตอบสนองต่อการรักษาต่อไปได้
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่อันตราย (เช่น ไฟไหม้, อาคารอาจถล่ม) ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อการอยู่ช่วยชีวิตต่อ
ผู้ป่วยเด็ก: มักมีสาเหตุจากการหายใจ (เช่น สำลักน้ำ) ซึ่งอาจยังมีโอกาสรอด จึงมักพิจารณาเคลื่อนย้ายเร็วกว่าผู้ใหญ่
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลง
แนวทางปี 2025 นี้สะท้อนถึง "การคิดใหม่" เกี่ยวกับการช่วยชีวิตนอกโรงพยาบาล:
จาก "Load and Go" สู่ "Stay and Play": แทนที่จะรีบเก็บผู้ป่วยขึ้นรถแล้ววิ่งไปโรงพยาบาล (ซึ่งมักสายเกินไป) แนวทางใหม่มุ่งเน้นให้ทำการรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด ณ จุดที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับสมองและหัวใจ
จาก "ทำทุกอย่างเสมอ" สู่ "ทำอย่างชาญฉลาด": การยอมรับว่าทางการแพทย์มีขีดจำกัด และการตัดสินใจยุติการรักษาที่เหมาะสมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมีมนุษยธรรม
การดูแลทั้งระบบ: ไม่ได้มองแค่ผู้ป่วย แต่ยังมองถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ประสิทธิภาพของระบบ EMS และความทุกข์ทรมานทางจิตใจของครอบครัวผู้ป่วย
การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการการฝึกอบรมที่หนักแน่นและการสนับสนุนทางจิตใจสำหรับเจ้าหน้าที่ EMS ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องแบกรับภาระในการสื่อสารข่าวร้ายและตัดสินใจในสถานการณ์ที่กดดันสูง
สรุปข้อกำหนดใหม่สำหรับปี 2025 เกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพนอกโรงพยาบาล (OHCA)
สรุปได้เป็น 2 ประเด็นหลักดังนี้:
1. การยุติการช่วยฟื้นคืนชีพที่สถานที่เกิดเหตุ (Termination of Resuscitation)
สิ่งที่ต้องทำ: ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ต้องเตรียมพร้อมที่จะยุติการช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุ แทนที่จะนำส่งโรงพยาบาลในทุกกรณี
การฝึกอบรม: เจ้าหน้าที่ EMS ต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับ "การแจ้งข่าวเศร้า" (Death Notification) อย่างเหมาะสม
2. การให้ความสำคัญกับการช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุ (Prioritizing On-scene Resuscitation)
แนวทางใหม่: สำหรับผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล (ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก) ควรมุ่งเน้นการช่วยฟื้นคืนชีพให้ได้ "การกลับมาของการเต้นของหัวใจอย่างยั่งยืน (Sustained ROSC)" ให้ได้ที่จุดเกิดเหตุ ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ข้อยกเว้น: การเคลื่อนย้ายระหว่างทำ CPR ควรสงวนไว้สำหรับกรณีพิเศษเท่านั้น ที่เชื่อว่าการไปโรงพยาบาลจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
เหตุผลและประโยชน์ (Why)
ลดการเคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น: การพยายามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างที่กำลังทำ CPR อยู่จะทำให้ คุณภาพของการกู้ชีพลดลง และอาจ สร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ บนรถพยาบาล
การดูแลอย่างมีมนุษยธรรม: การอยู่ช่วยฟื้นคืนชีพที่จุดเกิดเหตุจนจบกระบวนการจะทำให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็นจำนวนมาก การฝึกอบรมให้รู้จัก "เมื่อไรควรยุติ" และ "วิธีแจ้งข่าวเศร้า" อย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ:
ให้การดูแลครอบครัวอย่างเห็นอกเห็นใจ
ป้องกันการหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ของเจ้าหน้าที่ EMS
1. การยุติการช่วยฟื้นคืนชีพบนสถานที่ (Termination of Resuscitation - TOR)
แนวทางนี้ไม่ใช่การ "ยอมแพ้" แต่เป็นการ "เปลี่ยนเป้าหมายของการรักษา" จากผู้ป่วยที่อาจไม่มีโอกาสรอด ไปสู่การดูแลครอบครัวและใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
เกณฑ์ในการพิจารณายุติ (โดยทั่วไป):
เกณฑ์เหล่านี้มักใช้ร่วมกันและต้องไม่มีข้อยกเว้น (เช่น อุณหภูมิร่างกายต่ำมาก จมน้ำ ไฟฟ้าช็อต ถูกพิษ)
ไม่ได้รับการเห็นเหตุการณ์ (Unwitnessed Arrest): ไม่มีใครเห็นตอนที่ผู้ป่วยหมดสติ
ไม่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ควรช็อค (Non-Shockable Rhythm): เมื่อติดเครื่อง AED/EKG แล้วพบว่าหัวใจไม่ใช่รูปแบบ Ventricular Fibrillation (VF) หรือ Pulseless Ventricular Tachycardia (VT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ตอบสนองต่อการช็อคไฟฟ้าดีที่สุด
ไม่มีการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น (No Bystander CPR): ไม่มีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ช่วยทำ CPR ตั้งแต่แรก
หากตรงตามเกณฑ์เหล่านี้ทั้งหมด โอกาสรอดชีวิตมีต่ำมาก (มักต่ำกว่า 1%) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจึงให้ประโยชน์น้อยมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
รายละเอียดเชิงลึกของการแจ้งข่าวเศร้า (Death Notification):
นี่คือหัวใจของแนวทางใหม่ ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ต้องทำด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่ง
สภาพแวดล้อมและภาษากาย:
สถานที่: พาผู้ครอบครัวไปยังพื้นที่ที่สงบและเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะอนุญาต
ท่าทาง: นั่งระดับเดียวกับครอบครัว สบตา พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่มั่นคง หลีกเลี่ยงภาษาทางเทคนิค
โครงสร้างการสื่อสาร (Step-by-Step):
เตรียมความพร้อม: ตรวจสอบว่าคุณพูดกับผู้ตัดสินใจหลักของครอบครัว เรียกชื่อผู้ป่วยให้ถูกต้อง
เริ่มบทสนทนา: "ขออนุญาตคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ/คะ" และนำพวกเขาไปยังพื้นที่ส่วนตัว
แจ้งข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาแต่เห็นอกเห็นใจ: ใช้ภาษาที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงคำกำกวม
ตัวอย่าง: "ผม/ดิฉันต้องแจ้งข่าวร้ายให้ทราบ เราทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยชีวิต [ชื่อผู้ป่วย] แล้ว แต่หัวใจของท่านไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั้งหมดของเรา และเราไม่สามารถทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้อีกครั้ง ท่านได้จากเราไปแล้ว"
หลีกเลี่ยง: "เราเสียท่านไปแล้ว", "ท่านได้ไปสู่สุขติแล้ว" (ให้ใช้คำว่า "เสียชีวิต" หรือ "จากไป" ที่ชัดเจน)
แสดงความเห็นอกเห็นใจ: "ผม/ดิฉันรู้ว่าข่าวนี้เป็นข่าวที่รับได้ยากมาก และผม/ดิฉันรู้สึกเสียใจกับคุณ/ครอบครัวของคุณอย่างสุดซึ้ง"
ตอบคำถามและอธิบายสั้นๆ: อธิบายว่าทีมทำอะไรไปบ้างอย่างย่อๆ และย้ำว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ในช่วงสุดท้าย
เสนอการสนับสนุน: "มีใครที่คุณอยากให้ผมโทรหาให้ไหมครับ? เช่น ญาติ คนใกล้ชิด หรือพระ?"
จัดการกับขั้นตอนต่อไป: อธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนทางกฎหมาย เช่น การแจ้งตำรวจ และการเคลื่อนย้ายศพไปยังโรงพยาบาลหรือสถาบันนิติเวช
ประโยชน์ของการทำ TOR บน scene:
สำหรับครอบครัว: ได้รับข่าวเศร้าในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และได้รับการดูแลจาก EMS โดยตรง ซึ่งให้ความรู้สึกว่าทุกอย่างจบลงอย่างเหมาะสม
สำหรับเจ้าหน้าที่ EMS: ได้ปิดเคสอย่างสมบูรณ์ ช่วยลดความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่เกิดจากการ "วิ่งรถพยาบาลเปล่า" ไปส่งผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้วที่ห้องฉุกเฉิน
สำหรับระบบ: ทรัพยากร (รถ, เจ้าหน้าที่) ไม่ถูกกักอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน และสามารถพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินรายต่อไปได้เร็วขึ้น
2. การช่วยฟื้นคืนชีพบนสถานที่จนกว่าจะได้ Sustained ROSC
เหตุผลทางสรีรวิทยาและความปลอดภัย:
คุณภาพของ CPR ที่ลดลง: การทำ CPR บนรถพยาบาลที่กำลังเคลื่อนที่นั้นทำได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพ
การกดหน้าอก: ความลึกและอัตราการกดจะไม่สม่ำเสมอเนื่องจากการเหวี่ยงของรถ
การหยุดชะงัก: มีการหยุดทำ CPR บ่อยครั้งระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากพื้นขึ้น stretcher และจาก stretcher เข้าโรงพยาบาล
ความเสี่ยงต่อความปลอดภัย:
ต่อเจ้าหน้าที่: เจ้าหน้าที่ที่ยืนทำ CPR ในรถพยาบาลที่วิ่งอยู่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน
ต่อผู้ป่วย: การใส่ท่อช่วยหายใจ (Advanced Airway) หรือการเจาะเส้นเลือด (IV Access) ทำได้ยากและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเมื่อรถเคลื่อนที่
"Sustained ROSC" คืออะไร?
หมายถึง การที่หัวใจกลับมาเต้นได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง (มีชีพจรและความดันเลือด) และสามารถ รักษาสภาพนี้ไว้ได้อย่างน้อย 20 นาที โดยไม่หยุดเต้นอีก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีโอกาสที่จะรอดชีวิตสูงพอที่จะคุ้มค่ากับการเคลื่อนย้าย
ข้อยกเว้น (Special Circumstances) ที่อาจพิจารณาเคลื่อนย้ายระหว่างทำ CPR:
สาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ (Reversible Causes) ซึ่งต้องทำในโรงพยาบาลเท่านั้น:
ภาวะหัวใจถูกกด (Cardiac Tamponade): ต้องได้รับการเจาะระบาย
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Massive Pulmonary Embolism): อาจต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดเฉพาะที่หรือผ่าตัด
ภาวะ Hypothermia รุนแรง: ต้องใช้เครื่อง Heart-Lung Bypass (ECMO) เพื่อทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาบน scene เป็นอย่างดี: เช่น กลับมามีชีพจรชั่วคราว (Transient ROSC) บ่งชี้ว่าหัวใจอาจตอบสนองต่อการรักษาต่อไปได้
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่อันตราย (เช่น ไฟไหม้, อาคารอาจถล่ม) ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อการอยู่ช่วยชีวิตต่อ
ผู้ป่วยเด็ก: มักมีสาเหตุจากการหายใจ (เช่น สำลักน้ำ) ซึ่งอาจยังมีโอกาสรอด จึงมักพิจารณาเคลื่อนย้ายเร็วกว่าผู้ใหญ่
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลง
แนวทางปี 2025 นี้สะท้อนถึง "การคิดใหม่" เกี่ยวกับการช่วยชีวิตนอกโรงพยาบาล:
จาก "Load and Go" สู่ "Stay and Play": แทนที่จะรีบเก็บผู้ป่วยขึ้นรถแล้ววิ่งไปโรงพยาบาล (ซึ่งมักสายเกินไป) แนวทางใหม่มุ่งเน้นให้ทำการรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด ณ จุดที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับสมองและหัวใจ
จาก "ทำทุกอย่างเสมอ" สู่ "ทำอย่างชาญฉลาด": การยอมรับว่าทางการแพทย์มีขีดจำกัด และการตัดสินใจยุติการรักษาที่เหมาะสมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมีมนุษยธรรม
การดูแลทั้งระบบ: ไม่ได้มองแค่ผู้ป่วย แต่ยังมองถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ประสิทธิภาพของระบบ EMS และความทุกข์ทรมานทางจิตใจของครอบครัวผู้ป่วย
การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการการฝึกอบรมที่หนักแน่นและการสนับสนุนทางจิตใจสำหรับเจ้าหน้าที่ EMS ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องแบกรับภาระในการสื่อสารข่าวร้ายและตัดสินใจในสถานการณ์ที่กดดันสูง


