อันตรายจากการดื่มสารแอมโมเนีย

ผู้ป่วยหญิงอายุ 36 ปี ถูกนำส่งห้องฉุกเฉินหลังจากดื่มน้ำแอมโมเนีย 3 แก้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
เธอมีอาการปากเจ็บและกลืนลำบาก การตรวจร่างกาย: อุณหภูมิ 37.8°C, ชีพจร 110 ครั้ง/นาที, การหายใจ 30 ครั้ง/นาที, ความดันโลหิต 140/80 mmHg, มีเสียง stridor, ลิ้นและเยื่อบุกระพุ้งแก้มแดง นอกจากนี้ปกติดี
การจัดการรักษาเบื้องต้นที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
จากการประเมินผู้ป่วยหญิงอายุ 36 ปี ที่ดื่มสารแอมโมเนียเข้าไป 3 แก้วภายในหนึ่งชั่วโมง และมีอาการปากเจ็บ กลืนลำบาก ร่วมกับการตรวจร่างกายที่พบเสียงสไตรดอร์ซึ่งบ่งชี้ถึงการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนบน และพบเยื่อบุในช่องปากมีลักษณะแดงอย่างชัดเจน สถานการณ์นี้จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่คุกคามชีวิตและต้องการการจัดการอย่างเร่งด่วน
-พยาธิสรีรวิทยาของการบาดเจ็บจากสารแอมโมเนียเกิดจากคุณสมบัติเป็นด่างที่รุนแรงของสารนี้ แอมโมเนียเมื่อละลายในน้ำจะให้แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ซึ่งมีค่า pH สูงประมาณ 11.6 สารนี้ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบ liquefactive necrosis โดยจะย่อยสลายโปรตีนและซานิฟายไขมันในเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายลึกและรวดเร็ว แตกต่างจากการบาดเจ็บจากกรดที่ทำให้เกิด coagulation necrosis
-กลไกการบาดเจ็บเริ่มจากแอมโมเนียทำลายเยื่อบุผิวด้านนอกสุดแล้วแทรกซึมเข้าสู่ชั้นลึกอย่างรวดเร็ว การทำลายนี้ทำให้เกิดการปล่อยสารกลางการอักเสบจำนวนมาก นำไปสู่การบวมของเนื้อเยื่ออย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเดินหายใจส่วนบนที่มีโครงสร้างค่อนข้างแคบ
-เสียงสไตรดอร์ที่ตรวจพบเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่ามีการบวมของเนื้อเยื่อที่กล่องเสียงหรือเหนือกล่องเสียง ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดกั้นทางเดินหายใจอย่างสมบูรณ์ได้ทุกขณะ การบวมนี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 24 ถึง 48 ชั่วโมงแรกหลังการสัมผัสสาร
-การจัดการเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือการประเมินและรักษาทางเดินหายใจอย่างเร่งด่วน ควรเรียกทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการจัดการทางเดินหายใจยากมาประเมินทันที เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด difficult airway จากการบวมและความผิดปกติของanatomy
-หากผู้ป่วยมีสัญญาณของทางเดินหายใจอุดกั้นรุนแรงเช่น ใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจมาก วิตกกังวลรุนแรง หรือมีระดับความรู้ตัวลดลง ควรพิจารณาการใส่ท่อช่วยหายใจทันที การใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยเหล่านี้ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และเตรียมอุปกรณ์สำหรับ difficult airway ไว้พร้อม
-ห้ามล้างกระเพาะอาหารหรือทำให้อาเจียนโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บอยู่แล้วได้รับบาดเจ็บซ้ำและอาจทำให้สารกัดกร่อนแพร่กระจายไปยังareas ที่ยังไม่บาดเจ็บ
-ควรให้สารน้ำทางเส้นเลือดเพื่อรักษาสมดุลและป้องกันภาวะช็อก เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีภาวะ hypovolemia จากการที่ของเหลวรั่วออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
-การให้ยาบรรเทาปวดเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย อาจต้องให้ยา narcotic analgesics ทางเส้นเลือดเพื่อควบคุมอาการปวด effectively
-ควรปรึกษาแพทย์ระบบทางเดินอาหารเพื่อพิจารณาการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบนอย่างเร่งด่วน การส่องกล้องจะช่วยประเมินระดับความรุนแรงและขอบเขตของการบาดเจ็บ ซึ่งสำคัญต่อการพยากรณ์โรคและการวางแผนการรักษาต่อไป
-การพยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มข้นของสารที่ดื่มเข้าไป และความรวดเร็วในการได้รับ treatment ที่เหมาะสม ผู้ป่วยที่รอดชีวิตอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น การตีบแคบของทางเดินอาหาร ความผิดปกติของการกลืน หรือการทำงานของกระเพาะอาหารผิดปกติ


