การจัดการภาวะเลือดออกผิดปกติจากเยื่อบุโพรงมดลูกหนา

ผู้ป่วยหญิงอายุ 35 ปี มีอาการเลือดออกผิดปกติทั้งแบบเป็นรอบเดือนและระหว่างรอบเดือน (Menometrorrhagia)
ปากมดลูกปิด มดลูกขนาดไม่สม่ำเสมอ เท่ากับอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ อัลตราซาวนด์: พบเยื่อบุโพรงมดลูกหนาในระยะ proliferative phase ควรทำอย่างไร?
A: ตัดมดลูก
B: gnrh analog
C: Myomectomy
D:proges
E: endometrium abrasion
เฉลย: C Myomectomy
จากการประเมินผู้ป่วยหญิงอายุ 35 ปี ที่มีอาการเลือดออกผิดปกติทั้งในช่วงที่มีประจำเดือนและระหว่างรอบเดือน หรือที่เรียกว่า menometrorrhagia ร่วมกับการตรวจพบว่ามดลูกมีขนาดใหญ่เท่ากับอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ และผลอัลตราซาวนด์แสดงให้เห็นว่าเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ในระยะ proliferative phase ที่หนาตัวขึ้น สถานการณ์นี้บ่งชี้ถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ที่ต้องการการตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างเร่งด่วน
พยาธิสรีรวิทยาของภาวะนี้มักเริ่มจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มีฮอร์โมนเอสโตรอนกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกอย่างต่อเนื่องโดยขาดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมาควบคุม ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบและลอกตัวออกอย่างไม่สมบูรณ์ นำไปสู่การเลือดออกกะปริดกระปรอย
การที่มดลูกมีขนาดใหญ่เท่ากับอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ชี้ให้เห็นว่าอาจมีพยาธิสภาพในผนังมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูกชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ submucosal myoma ที่อาจทำให้มีเลือดออกมากและผิดปกติ หรืออาจเป็น adenomyosis ที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกแทรกอยู่ในผนังมดลูก
การจัดการรักษาควรเริ่มต้นด้วยการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อแยกแยะระหว่างภาวะที่ไม่รุนแรงและภาวะที่อาจนำไปสู่มะเร็งได้ ควรทำการส่องกล้องตรวจภายในมดลูกร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้มาตรฐานในการวินิจฉัยภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ
ระหว่างการส่องกล้อง แพทย์จะสามารถตรวจดูโพรงมดลูกโดยตรง เพื่อประเมินลักษณะของเยื่อบุโพรงมดลูก ตรวจหาติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้องอกที่อาจเป็นสาเหตุของการเลือดออก และสามารถเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากตำแหน่งที่สงสัยได้อย่างแม่นยำ
ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาจะเป็นตัวกำหนดแนวทางการรักษาต่อไป หากเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติแบบไม่มี atypical cells อาจรักษาโดยให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อปรับสมดุลและกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวอย่างสมบูรณ์
แต่หากพบว่าเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติแบบมี atypical cells ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง ควรพิจารณาการผ่าตัดมดลูกออก เนื่องจากผู้ป่วยอายุ 35 ปี และมีอาการมดลูกขนาดใหญ่อยู่แล้ว
ในกรณีที่ตรวจพบเนื้องอกมดลูกที่เป็นสาเหตุ ควรพิจารณาการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก หรือหากก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีหลายก้อน อาจต้องผ่าตัดมดลูกทั้งหมด
หลังการรักษาต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยนัดตรวจซ้ำทุก 3-6 เดือน ในช่วงแรก เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของโรค ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยน เช่น การควบคุมน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน เนื่องจากเนื้อเยื่อไขมันสามารถเปลี่ยนฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นเอสโตรเจนได้ ทำให้ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลรุนแรงขึ้นความสำคัญของการจัดการผู้ป่วยรายนี้อยู่ที่การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้โรคprogress ไปเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากพบในระยะเริ่มต้น


