แชร์

การจัดการภาวะลำไส้กลืนกันในทารก

65 ผู้เข้าชม

ทารกชายอายุ 6 เดือน มีประวัติปวดบิดและถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเป็นเวลา 6 ชั่วโมงอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย ร้องกวน

การตรวจร่างกาย: อุณหภูมิ 37 องศา, ชีพจร 120 ครั้ง/นาที, การหายใจ 30 ครั้ง/นาที

การตรวจช่องท้อง: คลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบน (RUQ), บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่าง (RLQ) ว่าง

อัลตราซาวนด์: พบลักษณะคล้ายไตเทียม (pseudo-kidney sign)

การจัดการรักษาที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
จากการประเมินทารกชายอายุ 6 เดือนที่มีประวัติปวดบิดและถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ร่วมกับการตรวจร่างกายที่พบชีพจรเร็ว หายใจเร็ว หงุดหงิดร้องกวน และคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบนพร้อมกับบริเวณท้องน้อยด้านขวาล่างว่างเปล่า และผลอัลตราซาวนด์แสดงลักษณะคล้ายไตเทียม ชุดอาการนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงภาวะลำไส้กลืนกันซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมเด็กที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

พยาธิสรีรวิทยาของภาวะลำไส้กลืนกันเกิดจากลำไส้ส่วนต้นถูกสอดเข้าไปในลำไส้ส่วนถัดไปเหมือนกับการม้วนกล้องส่องทางไกล การกลืนกันนี้มักเกิดที่บริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กส่วนปลายกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากมีจุดนำในลำไส้ เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ กลุ่มต่อมน้ำเหลืองที่โตจากการติดเชื้อ หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในผนังลำไส้

อาการปวดบิดเกิดจากการหดเกร็งของลำไส้ที่พยายามดันส่วนที่กลืนกันให้ผ่านไปได้ และการขาดเลือดไปเลี้ยงลำไส้ในส่วนที่ถูกกลืน อาการปวดนี้มักเป็นแบบเป็นช่วงๆ สลับกับระยะที่ทารกอาจดูเหนื่อยอ่อนได้ การถ่ายอุจจาระเป็นเลือดมีลักษณะเฉพาะเป็นมูกเลือดคล้ายเยลลี่ราสเบอร์รี่ เกิดจากการคั่งของเลือดและมูกในลำไส้ส่วนที่ถูกกลืนกัน

การตรวจพบก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบนเป็นตำแหน่งของลำไส้ใหญ่ส่วนต้นที่เคลื่อนไปจากตำแหน่งปกติ ในขณะที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่างว่างเปล่าเป็นผลจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้นและไส้ติ่งถูกดึงเข้าไปในลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง

ลักษณะคล้ายไตเทียมบนอัลตราซาวนด์เกิดจากการที่ลำไส้ส่วนที่ถูกกลืนกันและส่วนที่กลืนมีลักษณะเป็นวงกลม concentric กัน โดยมีชั้นของ mesenteric fat และหลอดเลือดอยู่ระหว่างกลาง ทำให้เห็นภาพคล้ายไต

การจัดการรักษาที่เหมาะสมที่สุดคือการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยอากาศเพื่อลดการกลืนกัน วิธีการนี้ทำโดยรังสีแพทย์หรือศัลยแพทย์เด็กผ่านการนำทางด้วยฟลูออโรสโคปี แรงดันอากาศที่ใช้ทั่วไปอยู่ระหว่าง 80 ถึง 120 มิลลิเมตรปรอท ต้องควบคุมอย่างระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการแตกของลำไส้

ก่อนทำการสวนลำไส้ ต้องประเมินว่าผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในช่องท้องหรือลำไส้ขาดเลือดเช่น ไข้สูง หน้าท้องกดเจ็บทั่วๆ ไป หรือมีภาวะช็อก ควรให้สารน้ำทางเส้นเลือดเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและเตรียมผู้ป่วยสำหรับการรักษาอัตราความสำเร็จของการสวนลำไส้ด้วยอากาศอยู่ที่ประมาณ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ทำไม่สำเร็จหรือมีข้อบ่งชี้ของการขาดเลือดของลำไส้ ต้องทำการผ่าตัดด่วน ระหว่างผ่าตัดศัลยแพทย์จะทำการคลายลำไส้ที่กลืนกันและประเมินความมีชีวิตของลำไส้ หากลำไส้ขาดเลือดอาจต้องตัดลำไส้ส่วนนั้นออก

หลังการรักษาที่สำเร็จ ไม่ว่าจะโดยการสวนหรือการผ่าตัด ต้องนัดติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีโอกาสเกิดซ้ำได้ประมาณ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ โดยมักเกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังการรักษาความรวดเร็วในการวินิจฉัยและรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลการรักษาเนื่องจากอัตราความสำเร็จของการสวนลำไส้จะลดลงตามระยะเวลาที่เกิดอาการ และความเสี่ยงต่อการขาดเลือดของลำไส้ขึ้นหลังจาก 24 ชั่วโมง


บทความที่เกี่ยวข้อง
การจัดการภาวะครรภ์เป็นพิษที่อายุครรภ์ครบกำหนด?
ผู้ป่วยหญิงอายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ที่ 4 อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ มีความดันโลหิตสูง 160/100 mmHg พบโปรตีนในปัสสาวะ 3+ ปากมดลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และ NST ปกติ การจัดการรักษาที่เหมาะสมและเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คืออะไร?
การดูแลทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อซิฟิลิส?
มารดาที่มีผลตรวจ VDRL และ FTA-ABS reactive (เป็นบวก) เมื่อ 2 เดือนก่อนคลอด และได้รับยา erythromycin เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนคลอด ทารกแรกเกิดควรได้รับการจัดการดูแลอย่างไร?
การรักษาโรคไมเกรนในหญิงตั้งครรภ์?
ผู้ป่วยหญิงอายุ 30 ปี ตั้งครรภ์ มีประวัติปวดศีรษะบ่อยๆ เห็นแสงวูบวาบ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน วิธีรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดในผู้ป่วยรายนี้ (ขณะตั้งครรภ์) คือข้อใด?
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy