การจัดการภาวะลำไส้กลืนกันในทารก

ทารกชายอายุ 6 เดือน มีประวัติปวดบิดและถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเป็นเวลา 6 ชั่วโมงอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย ร้องกวน
การตรวจร่างกาย: อุณหภูมิ 37 องศา, ชีพจร 120 ครั้ง/นาที, การหายใจ 30 ครั้ง/นาที
การตรวจช่องท้อง: คลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบน (RUQ), บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่าง (RLQ) ว่าง
อัลตราซาวนด์: พบลักษณะคล้ายไตเทียม (pseudo-kidney sign)
การจัดการรักษาที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
จากการประเมินทารกชายอายุ 6 เดือนที่มีประวัติปวดบิดและถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ร่วมกับการตรวจร่างกายที่พบชีพจรเร็ว หายใจเร็ว หงุดหงิดร้องกวน และคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบนพร้อมกับบริเวณท้องน้อยด้านขวาล่างว่างเปล่า และผลอัลตราซาวนด์แสดงลักษณะคล้ายไตเทียม ชุดอาการนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงภาวะลำไส้กลืนกันซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมเด็กที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
พยาธิสรีรวิทยาของภาวะลำไส้กลืนกันเกิดจากลำไส้ส่วนต้นถูกสอดเข้าไปในลำไส้ส่วนถัดไปเหมือนกับการม้วนกล้องส่องทางไกล การกลืนกันนี้มักเกิดที่บริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กส่วนปลายกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากมีจุดนำในลำไส้ เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ กลุ่มต่อมน้ำเหลืองที่โตจากการติดเชื้อ หรือความผิดปกติของหลอดเลือดในผนังลำไส้
อาการปวดบิดเกิดจากการหดเกร็งของลำไส้ที่พยายามดันส่วนที่กลืนกันให้ผ่านไปได้ และการขาดเลือดไปเลี้ยงลำไส้ในส่วนที่ถูกกลืน อาการปวดนี้มักเป็นแบบเป็นช่วงๆ สลับกับระยะที่ทารกอาจดูเหนื่อยอ่อนได้ การถ่ายอุจจาระเป็นเลือดมีลักษณะเฉพาะเป็นมูกเลือดคล้ายเยลลี่ราสเบอร์รี่ เกิดจากการคั่งของเลือดและมูกในลำไส้ส่วนที่ถูกกลืนกัน
การตรวจพบก้อนที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาบนเป็นตำแหน่งของลำไส้ใหญ่ส่วนต้นที่เคลื่อนไปจากตำแหน่งปกติ ในขณะที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่างว่างเปล่าเป็นผลจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้นและไส้ติ่งถูกดึงเข้าไปในลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง
ลักษณะคล้ายไตเทียมบนอัลตราซาวนด์เกิดจากการที่ลำไส้ส่วนที่ถูกกลืนกันและส่วนที่กลืนมีลักษณะเป็นวงกลม concentric กัน โดยมีชั้นของ mesenteric fat และหลอดเลือดอยู่ระหว่างกลาง ทำให้เห็นภาพคล้ายไต
การจัดการรักษาที่เหมาะสมที่สุดคือการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยอากาศเพื่อลดการกลืนกัน วิธีการนี้ทำโดยรังสีแพทย์หรือศัลยแพทย์เด็กผ่านการนำทางด้วยฟลูออโรสโคปี แรงดันอากาศที่ใช้ทั่วไปอยู่ระหว่าง 80 ถึง 120 มิลลิเมตรปรอท ต้องควบคุมอย่างระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการแตกของลำไส้
ก่อนทำการสวนลำไส้ ต้องประเมินว่าผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในช่องท้องหรือลำไส้ขาดเลือดเช่น ไข้สูง หน้าท้องกดเจ็บทั่วๆ ไป หรือมีภาวะช็อก ควรให้สารน้ำทางเส้นเลือดเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและเตรียมผู้ป่วยสำหรับการรักษาอัตราความสำเร็จของการสวนลำไส้ด้วยอากาศอยู่ที่ประมาณ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ทำไม่สำเร็จหรือมีข้อบ่งชี้ของการขาดเลือดของลำไส้ ต้องทำการผ่าตัดด่วน ระหว่างผ่าตัดศัลยแพทย์จะทำการคลายลำไส้ที่กลืนกันและประเมินความมีชีวิตของลำไส้ หากลำไส้ขาดเลือดอาจต้องตัดลำไส้ส่วนนั้นออก
หลังการรักษาที่สำเร็จ ไม่ว่าจะโดยการสวนหรือการผ่าตัด ต้องนัดติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีโอกาสเกิดซ้ำได้ประมาณ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ โดยมักเกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังการรักษาความรวดเร็วในการวินิจฉัยและรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลการรักษาเนื่องจากอัตราความสำเร็จของการสวนลำไส้จะลดลงตามระยะเวลาที่เกิดอาการ และความเสี่ยงต่อการขาดเลือดของลำไส้ขึ้นหลังจาก 24 ชั่วโมง


