อันตรายจากการกินมันสำปะหลังดิบ

เด็กกินมันสําปะหลังดิบ ต่อมาตัวเขียว สารในมันสําปะหลัง มีผลอย่างไรกับร่างกาย?
สารที่เป็นปัญหาหลักในมันสำปะหลังดิบคือ สารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic glycosides) โดยเฉพาะอย่างยิ่งลินามาริน (Linamarin) และ โลทาอัสตราลิน (Lotaustralin) เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย มันจะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์และเกิดปฏิกิริยาทางเคมีจนปล่อยกรดไฮโดรไซยานิก (Hydrocyanic acid) ซึ่งเป็นสารพิษที่รู้จักกันในชื่อ ไซยาไนด์ (Cyanide)
ผลกระทบต่อร่างกาย (พิษของไซยาไนด์)
เมื่อกรดไฮโดรไซยานิกถูกปล่อยออกมา มันจะเข้าสู่กระแสเลือดและไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมองและหัวใจ โดยกลไกการออกฤทธิ์คือ
1.ขัดขวางกระบวนการหายใจระดับเซลล์:ไซยาไนด์จะไปจับกับไซโตโครม c ออกซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในไมโตคอนเดรีย ทำให้เซลล์ไม่สามารถใช้ออกซิเจนที่ได้รับมาเพื่อผลิตพลังงาน (ATP) ได้
2.เซลล์ขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง:แม้ว่าระดับออกซิเจนในเลือดจะปกติ แต่เซลล์ไม่สามารถนำไปใช้ได้ ส่งผลให้เซลล์ตายได้ในเวลาอันสั้น ภาวะนี้เรียกว่า "ภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน"
อาการของพิษไซยาไนด์
อาการจะแสดงออกอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง หลังจากกินมันสำปะหลังดิบเข้าไป โดยความรุนแรงขึ้นกับปริมาณที่กิน
อาการเริ่มต้น:
- ปวดหัว มึนงง สับสน
- อาเจียน ปวดท้อง
- หายใจเร็วและลึก
- หัวใจเต้นเร็ว
- รู้สึกอ่อนเพลียมาก
อาการรุนแรง:
- ตัวเขียว (Cyanosis):เป็นอาการที่เห็นชัดเจน เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้ออกซิเจนได้ เลือดที่ขาดออกซิเจนมีสีม่วงคล้ำ ทำให้ผิวหนัง โดยเฉพาะริมฝีปาก ใบหน้า และปลายนิ้ว มีสีเขียว ฟ้า หรือม่วง
- ชัก
- ความดันโลหิตต่ำมาก
- หัวใจเต้นช้าลงและผิดจังหวะ
- หมดสติ โคม่า
- หยุดหายใจและเสียชีวิตได้
ทำไมเด็กถึงได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าผู้ใหญ่?
1.น้ำหนักตัวน้อย:ปริมาณสารพิษเท่ากันจะมีความเข้มข้นในร่างกายเด็กสูงกว่าผู้ใหญ่มาก
2.ระบบการกำจัดพิษยังไม่สมบูรณ์: ตับของเด็กอาจยังไม่สามารถ metabolize หรือกำจัดพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่
3. กินในปริมาณที่เท่ากันเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว:เด็กอาจกินมันสำปะหลัง 1 หัว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต่อน้ำหนักตัวที่สูงกว่าผู้ใหญ่ที่กินในปริมาณเท่ากัน
การป้องกันและสิ่งที่ต้องรู้
1.ห้ามกินดิบ: วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ต้องทำให้สุกเสก่อนกินการหั่นและทำให้สุกด้วยความร้อน (ต้ม นึ่ง ทอด) จะช่วยสลายเอนไซม์ที่ปล่อยไซยาไนด์และขับระเหยกรดไฮโดรไซยานิกออกไปได้
2.แช่และล้างน้ำ: การปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแช่ในน้ำนานหลายชั่วโมง (ควรเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ) จะช่วยลดปริมาณสารพิษลงได้มากก่อนนำไปทำให้สุก
3.เลือกพันธุ์มันสำปะหลัง: พันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกสำหรับการบริโภคในปัจจุบันมักเป็นพันธุ์ที่มีสารพิษต่ำ ("พันธุ์หวาน") แต่ก็ยังมีสารนี้อยู่และไม่ปลอดภัยที่จะกินดิบ
สรุป
กรณีเด็กตัวเขียวหลังจากกินมันสำปะหลังดิบ เป็นสัญญาณฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อันตรายถึงชีวิตเกิดจากพิษของไซยาไนด์ซึ่งไปขัดขวางการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ทันที ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตระหนักว่ามันสำปะหลังดิบมีพิษ และต้องผ่านการปรุงสุกอย่างเหมาะสมก่อนบริโภคทุกครั้งโดยเฉพาะในเด็กซึ่งมีความไวต่อพิษนี้มากกว่าผู้ใหญ่


