สัญญาณเตือนไส้ติ่งอักเสบ !

ผู้ป่วยหญิงอายุ 32 ปี มารับการรักษาด้วยอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านขวา (RLQ) เบื่ออาหาร คลื่นไส้และอาเจียน
การตรวจร่างกาย:อุณหภูมิ 37.4 องศาเซลเซียส
ชีพจร: 100 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต: 110/70 mmHg
อัตราการหายใจ: 20 ครั้ง/นาที
การตรวจช่องท้อง: กดเจ็บปานกลางที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา มีอาการเจ็บยิบ (rebound tenderness)
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ: CBC: Hct 35 vol%, WBC 12,500 cells/mm³ (Neutrophil 85%, Lymphocyte 15%), Platelet 200,000 cells/mm³
การจัดการรักษาที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
จากประวัติอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านขวาร่วมกับอาการเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียน การตรวจร่างกายพบกดเจ็บและเจ็บยิบที่บริเวณเดียวกัน และผลตรวจเลือดพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นโดยเฉพาะส่วน neutrophil ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85 การวินิจฉậyที่น่าจะเป็นไปได้สูงที่สุดคือไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะเร่งด่วนทางศัลยกรรมที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการอุดตันของไส้ติ่งจากหลายสาเหตุ เช่น ก้อนเสมหะไส้ติ่ง fecalith ต่อมน้ำเหลืองที่บวมจากเชื้อโรค หรือในบางครั้งอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอม การอุดตันนี้ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความดันภายในไส้ติ่ง การขาดเลือดมาเลี้ยง และในที่สุดเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา หากปล่อยไว้ไม่รักษา ไส้ติ่งที่อักเสบอาจแตกทะลุทำให้เชื้อโรคและสิ่งคัดหลั่งในลำไส้รั่วเข้าสู่ช่องท้อง ก่อให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
-แนวทางการจัดการผู้ป่วยรายนี้ควรเริ่มจากการประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว แม้ความดันโลหิตจะอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ชีพจรที่ 100 ครั้งต่อนาทีบ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะขาดน้ำหรือเริ่มมี systemic inflammatory response ควรให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรงดน้ำงดอาหารทางปากเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัด
-การตรวจเพิ่มเติมที่อาจพิจารณาได้แก่ การตรวจปัสสาวะเพื่อแยกโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องซึ่งสามารถแสดงภาพไส้ติ่งที่บวมหนามีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น หรือพบน้ำในช่องท้องบริเวณรอบไส้ติ่ง อย่างไรก็ตามในกรณีที่การวินิจฉậyค่อนข้างชัดเจนจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเช่นนี้ ไม่ควรทำให้การรักษาล่าช้าไปกับการตรวจพิเศษมากเกิน
-การให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเป็นขั้นตอนสำคัญที่ควรเริ่มก่อนการผ่าตัด ยาปฏิชีวนะควรครอบคลุมเชื้อแกรมลบและ anaerobic bacteria ที่มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ใช้ cephalosporin รุ่นที่สามร่วมกับ metronidazole
-การรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันคือการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก การผ่าตัดสามารถทำได้สองวิธีหลักคือการผ่าตัดแบบเปิดผ่านแผลที่ท้องน้อยด้านขวา หรือการผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วและเจ็บแผลน้อยกว่า การเลือกวิธีการผ่าตัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยความพร้อมของโรงพยาบาล ประสบการณ์ของศัลยแพทย์ และสภาพของผู้ป่วย
หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะต่อเนื่อง และดูแลเรื่องการควบคุมอาการปวด การฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถเริ่มดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้เมื่อลำไส้ทำงานปกติแล้ว ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
-ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ การติดเชื้อในแผลผ่าตัด ฝีในช่องท้อง จากไส้ติ่งแตก หรือลำไส้เล็กอุดตันจากพังผืดในช่องท้อง ดังนั้นการสังเกตอาการหลังผ่าตecteอย่างใกล้ชิดจึงมีความสำคัญ
โดยสรุปแล้วการจัดการผู้ป่วยรายนี้ควรรีบดำเนินการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกหลังจากเตรียมผู้ป่วยและให้ยาปฏิชีวนะแล้ว การรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสมจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไส้ติ่งแตกและทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว


