การจัดการบาดเจ็บทรวงอกชนิดเปิด

ผู้ป่วยอายุ 42 ปี มาโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ การประเมินเบื้องต้น: ทางเดินหายใจโล่ง, ความดันโลหิต 120/70 mmHg, อัตราการหายใจ 28 ครั้ง/นาที, ได้ยินเสียงหายใจลดลงที่ปอดขวา, หลอดลมอยู่กลาง, มีแผลถลอกขนาด 3.5 ซม. ที่ผนังหน้าอกขวาพร้อมมีอากาศรั่ว, ออกซิเจนในเลือด 90%, คะแนน GCS = E4V5M6, รูม่านตาขนาด 2 มม. ทั้งสองข้างตอบสนองต่อแสง การจัดการรักษาเบื้องต้นที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร?
จากการประเมินผู้ป่วยอายุ 42 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์และมีแผลเปิดขนาด 3.5 เซนติเมตรที่ผนังหน้าอกด้านขวาพร้อมกับมีอากาศรั่ว ได้ยินเสียงหายใจลดลงที่ปอดขวา และมีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำอยู่ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ ชุดอาการนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงภาวะบาดเจ็บทรวงอกชนิดเปิดซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่คุกคามชีวิต
-พยาธิสรีรวิทยาของภาวะบาดเจ็บทรวงอกชนิดเปิดเริ่มจากแผลเปิดที่ผนังหน้าอกทำลายความดันลบภายในช่องเยื่อหุ้มปอดซึ่งจำเป็นสำหรับการขยายตัวของปอดระหว่างการหายใจเข้า เมื่อมีแผลเปิดขนาดใหญ่กว่าสองในสามของเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดลมใหญ่ อากาศจะไหลผ่านแผลเปิดแทนที่จะไหลผ่านทางเดินหายใจปกติ due to ความต้านทานที่ต่ำกว่า กลไกนี้ทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวแม้ปอดและทางเดินหายใจจะยังปกติ
-การได้ยินเสียงหายใจลดลงที่ปอดขวาเกิดจากมีอากาศในช่องเยื่อหุ้มปอดซึ่งทำให้ปอดแฟบลง ส่วนระดับออกซิเจนในเลือดที่ต่ำเกิดจากการผสมผสานระหว่างการหายใจไม่เพียงพอและการลดลงของพื้นที่ผิวสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซ
-การจัดการเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือการปิดแผลด้วยผ้าสามด้าน immediately หลักการนี้ช่วยป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดเพิ่มระหว่างการหายใจเข้า ในขณะที่ยัง允许ให้อากาศที่ค้างอยู่ภายในสามารถออกมาได้ระหว่างการหายใจออก การปิดแผลแบบนี้ช่วยฟื้นฟูความดันลบภายในช่องอกและทำให้การหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-หลังจากปิดแผลแล้วควรให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงผ่านหน้ากาก non-rebreather เพื่อแก้ไขภาวะ hypoxia และลดอาการหายใจลำบาก ควรพิจารณาใส่สายสวนหลอดเลือดดำขนาดใหญ่เพื่อให้สารน้ำหากมีความดันโลหิตต่ำหรือมี signs ของการบาดเจ็บอื่นๆ
-ขั้นตอนต่อไปที่จำเป็นคือการใส่สายระบายอากาศในช่องเยื่อหุ้มปอดที่ด้านขวาเพื่อระบายอากาศและของเหลวที่ค้างอยู่ สายระบายนี้ควรใส่ที่บริเวณขอบด้านหน้าของรักแร้ระหว่างซี่โครงที่สี่หรือห้า โดยต้องต่อกับระบบ underwater seal drainage เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศไหลกลับเข้าไป
-ระหว่างรอการใส่สายระบาย ควรติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการที่บ่งชี้ถึงภาวะ tension pneumothorax เช่น ความดันเลือดต่ำขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นเลือดที่คอโป่ง และการเคลื่อนของหลอดลมไปด้านตรงข้าม หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบแก้ไขโดยการเปลี่ยนผ้าปิดแผลให้เป็นแบบเปิดชั่วคราวหรือใส่เข็มเจาะระบายที่ซี่โครงที่สอง midline clavicular
-หลังจากควบคุมภาวะฉุกเฉินแล้ว ควรส่งตรวจเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อยืนยันตำแหน่งของสายระบายและประเมินการขยายตัวของปอด รวมทั้งตรวจหาการบาดเจ็บอื่นๆ ที่อาจมีร่วมด้วย เช่น กระดูกซี่โครงหัก หรือมีเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอดการดูแลแผลที่ผนังหน้าอกต้องทำอย่างระมัดระวังการทำความสะอาดและพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากแผลเปิดมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโดยเฉพาะจากอุบัติเหตุบนถนนในระยะยาวผู้ป่วยต้องการการประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อนเช่น การติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มปอด ฝีในปอด หรือ bronchopleural fistula ซึ่งอาจการรักษาเพิ่มเติม


