ภาวะฉุกเฉินจากแบตเตอรี่ติดคอในเด็ก

เด็กชายอายุ 3 ปี กินแบตเตอรี่กลมเข้าไปเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว การตรวจร่างกาย: อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส, ตรวจช่องปากและคอหอยไม่พบสิ่งแปลกปลอม, มีเสียง stridor ภาพเอกซเรย์เนื้อเยื่ออ่อน: พบความหนาแน่นสูงรูปกลม, มีลักษณะ double ring sign การจัดการรักษาที่เหมาะสมคืออะไร?
จากการประเมินเด็กชายอายุ 3 ปี ที่มีประวัติกลืนแบตเตอรี่กลมเข้าไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน การตรวจร่างกายพบเสียงสไตรดอร์ซึ่งบ่งชี้ถึงการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น และภาพเอกซเรย์แสดงลักษณะความหนาแน่นสูงรูปกลมพร้อมกับสัญญาณวงแหวนคู่ สถานการณ์นี้จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน
-พยาธิสรีรวิทยาของอันตรายจากแบตเตอรี่ที่ติดคอประกอบด้วยหลายกลไกที่เกิดขึ้นพร้อมกัน กลไกแรกคือการเกิดกระแสไฟฟ้าระหว่างขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่เมื่อสัมผัสกับเนื้อเยื่อ mucous membrane ที่ชื้น กระแสไฟฟ้านี้ทำให้เกิด hydrolysis ของน้ำและสร้าง hydroxide ions ที่มีความเป็นด่างสูงบริเวณขั้วลบ ส่งผลให้เนื้อเยื่อเกิดการละลายอย่างรวดเร็ว
-กลไกที่สองคือการรั่วของสารเคมีภายในแบตเตอรี่ เช่น สารละลาย alkaline หรือ lithium ซึ่งสามารถกัดกร่อนเนื้อเยื่อได้โดยตรง กลไกที่สามคือการกดทับทางกลจากขนาดของแบตเตอรี่ที่อาจทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและเกิดเนื้อตายตามมา
-ลักษณะ double ring sign บนภาพเอกซเรย์เกิดจากโครงสร้างภายในของแบตเตอรี่ที่มีขั้วบวกและขั้วลบอยู่คนละด้าน ทำให้เห็นเป็นวงสองวงที่ความหนาแน่นต่างกัน ลักษณะนี้ช่วยแยกแบตเตอรี่จากวัตถุแปลกปลอมอื่นๆ เช่น เหรียญ ซึ่งจะให้ภาพที่มีความหนาแน่นสม่ำเสมอ
-เสียงสไตรดอร์ที่ตรวจพบแสดงว่าแบตเตอรี่อาจอยู่ที่บริเวณกล่องเสียงหรือหลอดอาหารส่วนต้น และกำลังก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจบางส่วน ซึ่งอาจลุกลามเป็นการอุดกั้นสมบูรณ์ได้ทุกเมื่อ
-การจัดการรักษาที่เหมาะสมต้องเริ่มด้วยการประเมินทางเดินหายใจอย่างเร่งด่วน หากมี signs ของการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรง อาจต้องพิจารณาการจัดการทางเดินหายใจก่อนส่งไปยังห้องผ่าตัด ควรเตรียมอุปกรณ์สำหรับการช่วยหายใจและจัดการทางเดินหายใจยากไว้พร้อม
-วิธีการรักษาหลักคือการส่องกล้องเพื่อนำแบตเตอรี่ออกอย่างเร่งด่วน ควรทำในห้องผ่าตัดโดยมีทีมแพทย์ที่พร้อมสำหรับการจัดการภาวะแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทำหัตถการ การใช้ rigid endoscope มักได้ผลดีกว่าการใช้ flexible endoscope เนื่องจากสามารถจับและดึงวัตถุที่มีขนาดใหญ่ได้ดีกว่า
ระหว่างทำหัตถการ ควรระมัดระวังไม่ให้แบตเตอรี่แตกหรือทำให้เนื้อเยื่อเสียหายเพิ่มเติม หลังจากนำแบตเตอรี่ออกแล้ว ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีชิ้นส่วนเหลือค้างอยู่หรือไม่ และประเมินความเสียหายของเนื้อเยื่อหลอดอาหาร
-หลังการนำวัตถุออก ควรส่องกล้องตรวจหลอดอาหารอีกครั้งเพื่อประเมินความเสียหาย และพิจารณาให้ยาป้องกันการติดเชื้อ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร และในบางกรณีอาจต้องให้สารอาหารทางเส้นเลือดหากผู้ป่วยมีอาการบวมของหลอดอาหารรุนแรง
-ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ การทะลุของหลอดอาหาร การติดเชื้อ mediastinitis การเกิด stricture ของหลอดอาหารในระยะยาว หรือการเกิด tracheoesophageal fistula ดังนั้นการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลังการรักษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความรวดเร็วในการนำแบตเตอรี่ออกมีผลโดยตรงต่อความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากความเสียหายของเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่แบตเตอรี่คงค้างอยู่ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าภายใน 2 ชั่วโมงอาจเกิด mucosal injury ได้ และภายใน 4 ชั่วโมงอาจเกิด transmural injury ได้


