แชร์

การรักษาโรคไมเกรนในหญิงตั้งครรภ์?

5 ผู้เข้าชม
ผู้ป่วยหญิงอายุ 30 ปี ตั้งครรภ์ มีประวัติปวดศีรษะบ่อยๆ เห็นแสงวูบวาบ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน วิธีรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดในผู้ป่วยรายนี้ (ขณะตั้งครรภ์) คือข้อใด?
ก. ใช้พาราเซตามอลเมื่อมีอาการ และเน้นการปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
ข. ใช้ยากลุ่มทริปแทน (เช่น sumatriptan) ทุกครั้งที่มีอาการปวด
ค. ใช้ยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน เป็นประจำ
ง. ใช้ยาในกลุ่มเออร์กอต (ergotamine) เพื่อควบคุมอาการ
จ. เริ่มยาป้องกันไมเกรน เช่น โปรพาโนลอล (propranolol) ทุกวัน
เฉลย: ก. ใช้พาราเซตามอลเมื่อมีอาการ และเน้นการปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
เหตุผล:
หลักความปลอดภัยของทารกในครรภ์: การรักษาโรคไมเกรนในหญิงตั้งครรภ์ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทารกเป็นอันดับแรก พาราเซตามอล ถือเป็นยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุด (category A/B ในไตรมาสแรกและสอง) สำหรับใช้เป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการ ขนาดที่แนะนำคือ 500-1000 มก. ต่อครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง โดยไม่เกิน 3-4 กรัมต่อวัน การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-pharmacological treatment) เป็นแนวทางหลัก: การปรับพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ได้แก่ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ที่เฉพาะบุคคล เช่น อาหารบางชนิด (ช็อกโกแลต เนยแข็ง ผงชูรส) กลิ่นฉุน แสงจ้า เสียงดัง
จัดการความเครียด ด้วยการพักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายเบาๆ (ตามคำแนะนำของสูติแพทย์)
รับประทานอาหารเป็นเวลา และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำหรือน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งกระตุ้นไมเกรนได้
ข้อห้ามและข้อควรระวังของยาตัวอื่น:
ข. ยากลุ่มทริปแทน (triptans): เช่น sumatriptan, rizatriptan แม้บางการศึกษาในมนุษย์จะไม่พบความเสี่ยงที่ชัดเจน แต่จัดอยู่ใน category C (ความเสี่ยงไม่สามารถตัดออกได้) จึงควรใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นจริงๆ และล้มเหลวจากการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่เป็นทางเลือกแรก
ค. ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs): เช่น ไอบูโพรเฟน, นาพรอกเซน ห้ามใช้ในช่วงไตรมาสที่สาม (เสี่ยงต่อการปิดของ ductus arteriosus ของทารกในครรภ์ ทำให้เกิดภาวะความดันเลือดสูงในปอด) และควรใช้ด้วยความระมัดระวังในไตรมาสแรกและสอง ไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
ง. ยากลุ่มเออร์กอต (ergotamine): ห้ามใช้อย่างเด็ดขาด ในหญิงตั้งครรภ์ (category X) เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวและทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้ทารกขาดเลือดและเกิดความผิดปกติได้
จ. ยาป้องกันไมเกรน เช่น โปรพาโนลอล: เป็นยาป้องกันที่อาจพิจารณาได้ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการบ่อยและรุนแรงมาก (category C) แต่ ไม่ใช่การรักษาแรกเริ่ม และต้องใช้ภายใต้การประเมินของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกและอัตราการเต้นของหัวใจทารกได้
แนวทางการรักษาโดยสรุปตามหลักฐานทางการแพทย์:
รักษาแบบไม่ใช้ยาเป็นหลัก (พฤติกรรมบำบัด, จัดการสิ่งแวดล้อม)
หากต้องการยา ให้ใช้พาราเซตามอลเป็นตัวเลือกแรก
หากพาราเซตามอลไม่ได้ผล อาจพิจารณายาต้านการอาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclopramide) หรือใช้ทริปแทนในกรณีที่รุนแรงมาก ภายใต้การดูแลของแพทย์
สิ่งสำคัญคือต้องแยกอาการจากภาวะร้ายแรงอื่นๆ โดยเฉพาะ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและเห็นแสงวูบวาบร่วมกับความดันโลหิตสูงและโปรตีนในปัสสาวะได้ หากอาการปวดศีรษะเปลี่ยนรูปแบบหรือรุนแรงขึ้น ต้องมาพบแพทย์ทันที

บทความที่เกี่ยวข้อง
การจัดการภาวะครรภ์เป็นพิษที่อายุครรภ์ครบกำหนด?
ผู้ป่วยหญิงอายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ที่ 4 อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ มีความดันโลหิตสูง 160/100 mmHg พบโปรตีนในปัสสาวะ 3+ ปากมดลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และ NST ปกติ การจัดการรักษาที่เหมาะสมและเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คืออะไร?
การดูแลทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อซิฟิลิส?
มารดาที่มีผลตรวจ VDRL และ FTA-ABS reactive (เป็นบวก) เมื่อ 2 เดือนก่อนคลอด และได้รับยา erythromycin เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนคลอด ทารกแรกเกิดควรได้รับการจัดการดูแลอย่างไร?
การตรวจวินิจฉัยการบาดเจ็บหลอดเลือดแดงจากกระสุนปืน?
ผู้ป่วยชายอายุ 28 ปี บาดเจ็บจากกระสุนปืนที่แขนขวา การตรวจร่างกาย: รู้สึกตัวดี ตอบสนองดี ความดันโลหิต 130/80 mmHg แขนขวา: มีแผลกระจายขนาด 8 ซม. ที่แขนและไหล่ คลำชีพจรที่ข้อมือ (ulnar และ radial) ไม่ได้ การตรวจสืบค้นที่เหมาะสมคืออะไร?
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy