ท้องเสียเป็นน้ำ มีมูกเลือด กินอาหารสุกๆดิบๆ ตรวจอุจจาระพบ WBC RBC มาก เชื้ออะไร?
2 ผู้เข้าชม

ผู้ป่วยมีอาการท้องเสียเป็นน้ำพุ่ง มีมูกเลือด กินอาหารสุกๆดิบๆ ตรวจอุจจาระพบเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก เกิดจากเชื้ออะไร?
A. เชื้อวิบริโอ คอเลรา (Vibrio cholerae)
B. เชื้อจิอาร์เดีย แลมเบลีย (Giardia lamblia)
C. เชื้อเอ็นตามีบา ฮิสโตไลติกา (Entamoeba histolytica)
D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni)
E. เชื้อคริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium)
ตอบ D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni)
จากอาการผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเป็นน้ำพุ่ง มีมูกเลือดปน ประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ และผลการตรวจอุจจาระพบเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก อาการและการตรวจพบทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึง ภาวะลำไส้อักเสบติดเชื้อเฉียบพลันชนิดลุกลาม (Invasive Infectious Diarrhea)
เมื่อวิเคราะห์ลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ ได้แก่ อาการท้องเสียที่มีมูกเลือด ซึ่งบ่งชี้ถึงการลุกลามของเชื้อเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่ (colonic mucosa) ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อและมีเลือดออก การพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมากในอุจจาระสะท้อนถึงการอักเสบอย่างรุนแรงในผนังลำไส้ และการพบเม็ดเลือดแดงยืนยันว่ามีการเสียเลือดจากแผลในทางเดินอาหาร
เมื่อพิจารณาจากประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการติดเชื้อทางเดินอาหารหลายชนิด และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni) เป็นเชื้อที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด
เหตุผลเชิงลึกทางการแพทย์ที่เลือก Campylobacter jejuni:
1. ลักษณะทางคลินิกที่สอดคล้อง:
Campylobacter jejuni เป็นสาเหตุสำคัญของ acute inflammatory diarrhea ทั่วโลก
มักทำให้เกิดอาการท้องเสียมีมูกเลือด (dysentery-like illness)
มีระยะฟักตัว 2-5 วัน สอดคล้องกับประวัติการรับประทานอาหารเสี่ยง
2. กลไกการก่อโรค:
เชื้อนี้มีคุณสมบัติ invasive โดยสามารถบุกรุกเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่
ผลิต cytotoxins ที่ทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้
ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและมีแผลเลือดออก
3. การวินิจฉัยแยกโรคกับเชื้ออื่น:
A. วิบริโอ คอเลรา:
ทำให้เกิด watery diarrhea แบบ rice-water stool
ไม่ทำให้เกิดมูกเลือดหรือการอักเสบ
ไม่พบเม็ดเลือดขาวในอุจจาระ
B. จิอาร์เดีย แลมเบลีย:
ทำให้เกิด chronic watery diarrhea
ไม่มีเลือดปน
มักมีอาการท้องอืดแน่นแก๊ส
C. เอ็นตามีบา ฮิสโตไลติกา:
ทำให้เกิด amoebic dysentery
พบ trophozoites ในอุจจาระ
มักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยามากกว่าเฉียบพลัน
E. คริปโตสปอริเดียม:
มักเกิดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ทำให้เกิด watery diarrhea เรื้อรัง
ไม่มีเลือดปน
การตรวจเพิ่มเติมที่แนะนำ:
การเพาะเชื้อจากอุจจาระ
การตรวจหา antigens เชื้อ Campylobacter
การตรวจ PCR สำหรับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว
การจัดการรักษา:
ให้การรักษาประคับประคองด้วยสารน้ำและ electrolytes
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเช่น azithromycin หรือ fluoroquinolones
ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
โดยสรุป Campylobacter jejuni เป็นเชื้อที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากอธิบายลักษณะทางคลินิกทั้งหมดได้ครบถ้วน ทั้งอาการท้องเสียมีมูกเลือด การพบเม็ดเลือดขาวและแดงในอุจจาระจำนวนมาก และประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
A. เชื้อวิบริโอ คอเลรา (Vibrio cholerae)
B. เชื้อจิอาร์เดีย แลมเบลีย (Giardia lamblia)
C. เชื้อเอ็นตามีบา ฮิสโตไลติกา (Entamoeba histolytica)
D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni)
E. เชื้อคริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium)
ตอบ D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni)
จากอาการผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเป็นน้ำพุ่ง มีมูกเลือดปน ประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ และผลการตรวจอุจจาระพบเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงปริมาณมาก อาการและการตรวจพบทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึง ภาวะลำไส้อักเสบติดเชื้อเฉียบพลันชนิดลุกลาม (Invasive Infectious Diarrhea)
เมื่อวิเคราะห์ลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ ได้แก่ อาการท้องเสียที่มีมูกเลือด ซึ่งบ่งชี้ถึงการลุกลามของเชื้อเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่ (colonic mucosa) ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อและมีเลือดออก การพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมากในอุจจาระสะท้อนถึงการอักเสบอย่างรุนแรงในผนังลำไส้ และการพบเม็ดเลือดแดงยืนยันว่ามีการเสียเลือดจากแผลในทางเดินอาหาร
เมื่อพิจารณาจากประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการติดเชื้อทางเดินอาหารหลายชนิด และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ D. เชื้อคัมไพโลแบคเตอร์ เจจูนี (Campylobacter jejuni) เป็นเชื้อที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด
เหตุผลเชิงลึกทางการแพทย์ที่เลือก Campylobacter jejuni:
1. ลักษณะทางคลินิกที่สอดคล้อง:
Campylobacter jejuni เป็นสาเหตุสำคัญของ acute inflammatory diarrhea ทั่วโลก
มักทำให้เกิดอาการท้องเสียมีมูกเลือด (dysentery-like illness)
มีระยะฟักตัว 2-5 วัน สอดคล้องกับประวัติการรับประทานอาหารเสี่ยง
2. กลไกการก่อโรค:
เชื้อนี้มีคุณสมบัติ invasive โดยสามารถบุกรุกเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่
ผลิต cytotoxins ที่ทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้
ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและมีแผลเลือดออก
3. การวินิจฉัยแยกโรคกับเชื้ออื่น:
A. วิบริโอ คอเลรา:
ทำให้เกิด watery diarrhea แบบ rice-water stool
ไม่ทำให้เกิดมูกเลือดหรือการอักเสบ
ไม่พบเม็ดเลือดขาวในอุจจาระ
B. จิอาร์เดีย แลมเบลีย:
ทำให้เกิด chronic watery diarrhea
ไม่มีเลือดปน
มักมีอาการท้องอืดแน่นแก๊ส
C. เอ็นตามีบา ฮิสโตไลติกา:
ทำให้เกิด amoebic dysentery
พบ trophozoites ในอุจจาระ
มักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยามากกว่าเฉียบพลัน
E. คริปโตสปอริเดียม:
มักเกิดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ทำให้เกิด watery diarrhea เรื้อรัง
ไม่มีเลือดปน
การตรวจเพิ่มเติมที่แนะนำ:
การเพาะเชื้อจากอุจจาระ
การตรวจหา antigens เชื้อ Campylobacter
การตรวจ PCR สำหรับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว
การจัดการรักษา:
ให้การรักษาประคับประคองด้วยสารน้ำและ electrolytes
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเช่น azithromycin หรือ fluoroquinolones
ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
โดยสรุป Campylobacter jejuni เป็นเชื้อที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากอธิบายลักษณะทางคลินิกทั้งหมดได้ครบถ้วน ทั้งอาการท้องเสียมีมูกเลือด การพบเม็ดเลือดขาวและแดงในอุจจาระจำนวนมาก และประวัติการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ


